Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

แด่...ลุงศักดิ์สิทธิ์

แด่...ลุงศักดิ์สิทธิ์

โดย ขจรยศ กรุมรัมย์

ก่อนอื่นผมต้องเริ่มด้วยการกราบขอขมา ขอให้ดวงวิญญาณของลุงศักดิ์สิทธิ์ แก้วพิลา แรงงานไทยผู้ล่วงลับ ให้อภัยและอโหสิกรรมกับพวกเราด้วย ที่ถือวิสาสะนำเรื่องราวของลุงมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้แก่แรงงานไทยในสิงคโปร์ผู้ที่ยังอยู่และต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตกันต่อไป

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของแรงงานไทยคนหนึ่ง ผู้ทำงานหนักหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวที่อยู่ทางบ้าน แต่ต้องโชคร้ายมาจบชีวิตลงก่อนวัยอันควรด้วยอาการที่เรารู้จักกันทั่วไปว่า โรคไหลตาย ซึ่งเกิดขึ้นกับแรงงานไทยจำนวนมากในสิงคโปร์และแรงงานไทยในประเทศอื่น เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฯลฯ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นี่เอง ลุงศักดิ์สิทธิ์หรือลุงสิทธิ์ อายุประมาณ 45 ปี เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ได้ประมาณ 9 ปีกว่า ลุงทำงานกับบริษัท Shimizu Corporation ลุงทำงานด้วยความขยันและอดทน จึงได้เลื่อนตำแหน่งจากคนงานก่อสร้างธรรมดามาเป็นช่างไฟฟ้าและประปา คอยดูแลให้ความสะดวกเกี่ยวกับเรื่องน้ำไฟในไซท์งานก่อสร้างทั่วๆ ไป

ลุงสิทธิ์เป็นที่รักของเพื่อนๆ ทุกคนในไซด์งาน ด้วยนิสัยปกติของลุงเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดจาและสุงสิงกับใครง่ายๆ ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เวลาเพื่อนไม่ทักลุงก่อนลุงก็จะไม่ทักใครก่อนเช่นกัน จะเป็นคนร่าเริงก็ต่อเมื่อได้ดื่มเบียร์ หรือเหล้าเท่านั้น ทุกอาทิตย์ลุงสิทธิ์จะต้องกินเบียร์ แค่หนึ่งกระป๋องก็ทำให้ลุงสิทธิ์เมาแอ้แล้ว พอเขาเมาก็พูดได้ไม่หยุดเหมือนกัน ลุงแกชอบพูดเรื่องผู้หญิง ชอบคุยลามกนิดหน่อยเฮฮากันไปตามประสาคนเมา ลุงชอบดื่มเบียร์ยี่ห้อ บาร์รอน ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์แรงมากถึง 11% ทั้งยังชอบกินของดิบประเภทกับแกล้มคู่กับเบียร์ เช่น ลาบดิบ ก้อยดิบ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เครื่องในวัวที่เรียกกันในภาษาอีสานว่า “30 กลีบ” นั่นเอง คนงานไทยเราชอบซื้อเครื่องในวัวมากินกันมากโดยไม่สนใจว่าจะมีเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนหรือเปล่า

อยู่มาวันหนึ่ง ลุงได้นั่งคุยกับผมว่าทำงานอยู่สิงคโปร์มาเกือบ 10 ปีแล้ว ส่งเงินให้ลูกเรียนก็จบปริญญาเกือบหมดทุกคนแล้ว ทั้งภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวก็เริ่มเบาลง ถ้ากลับไปพักเยี่ยมครอบครัวคราวนี้จะไปผ่อนรถปิคอัพสักคัน เพื่อให้รางวัลชีวิตกับตัวเองบ้าง ทำงานมาก็เหนื่อยแล้วผมตอบว่า “ดีเหมือนกันลุง บางครั้งคนเราถ้าจริงจังมากกับชีวิตมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีความสุข คนเราเกิดมาครั้งเดียวถ้าให้รางวัลชีวิตและครอบครัวได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากและน่าภาคภูมิใจด้วย” ผมจำได้ติดตาว่า ลุงยิ้มแบบมีความสุข ใบหน้าแกอิ่มเอมและอาบเติมไปด้วยความหวังและความสุขใจ

พอได้กำหนดกลับไปพักผ่อน บริษัทแจ้งว่าให้ลุงลางานกลับไปพักผ่อนได้ 1 เดือน ลุงสิทธิ์ก็ซื้อของฝากลูกเมียหลายๆ อย่างตามประเพณีคนไทยเรา ช่วงที่ลุงไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติชางฮีสิงคโปร์นี่เอง ลุงเขาได้ทิ้งขยะลงพื้นในสนามบินโดยมิได้ตั้งใจหรือเผลอลืม ช่วงนั้นเองได้มีตำรวจนอกเครื่องแบบมาหาลุงและขอดูใบอนุญาตทำงานเพื่อเขียนใบสั่งปรับให้ลุงไปเสียเงินค่าปรับภายหลัง แต่ลุงอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกว่าเป็นใบสั่งอะไร ลุงถามตำรวจว่า “ที่เขียนให้นั้นมีผลอะไรไม่ดีกับผมไหม?” จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ ลุงสิทธิ์เอาใบสั่งปรับนั้นทิ้งลงถังขยะโดยไม่ได้นำเอามาปรึกษาเพื่อนๆ หรือถามใครๆ ที่อ่านภาษาอังกฤษได้ ลุงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่วงกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ลุงก็ได้ผ่อนรถตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้และส่งค่างวดเป็นรายเดือนประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน พอครบกำหนดกลับมาทำงานสิงคโปร์ตามปกติ

อยู่มาวันหนึ่ง ก็ได้มีคำสั่งศาลมาถึงลุงระบุว่า ลุงสิทธิ์ต้องจ้างค่าปรับเนื่องจากทิ้งขยะลงพื้นในสนามบิน เป็นจำนวนเงินถึง 600 เหรียญสิงคโปร์ ค่าปรับเพิ่มขึ้นที่อัตราปกติ 300 เหรียญสิงคโปร์ เพราะว่าลุงไม่เอาใบสั่งที่ลุงทิ้งไปเสียค่าปรับทำให้เลยระยะเวลาที่กำหนด ลุงจึงโดนปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1 เท่าของค่าปรับครั้งแรก จาก 300 เป็น 600 เหรียญสิงคโปร์ จำนวนเงินดังกล่าว ถ้าแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยแล้วก็มีค่ามากถึง 13,000 บาทเลยทีเดียว พอถึงเงินเดือนออก ลุงก็ได้รับเงินเดือนแค่ 600 เหรียญเท่านั้นเพราะว่าช่วงลุงไปพักผ่อน 1 เดือนนั้นทางบริษัทจะไม่คิดโอทีให้แต่จะคิดเป็นรายวันให้ในช่วงที่ลุงไปพักผ่อน 1 เดือน ซึ่งเป็นความถูกต้องและไม่ได้เอาเปรียบแต่อย่างใด ลุงสิทธิ์แกเครียดมากในวันนั้น ไหนจะค่าโดนปรับ ไหนจะค่างวดรถเดือนแรกที่บ้าน ลุงต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่รับไม่ได้ สถานการณ์ที่ตัวเองก่อขึ้นมาแท้ๆ

ลุงสิทธิ์ได้ระบายกับเพื่อนๆ ว่า “เครียดมาก วันนี้ขอพักผ่อนก่อน...” ลุงกินยาแก้ปวดไป 2 เม็ดก่อนจะล้มตัวลงนอน จากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ลุงแกนอนดิ้นและชักกระตุก เพื่อนที่ยังไม่นอนและเห็นเหตุการณ์ได้ลุกขึ้นไปช่วยกันปฐมพยาบาลโดยการช่วยกันปลุกลุงให้ตื่น ทำทุกอย่างเช่น เอาช้อนมาให้ลุงคาบ กัดหัวตีนแม่โป้งอย่างแรง เขย่าตัวให้ลุงตื่นแต่ก็ไม่ได้ผล ทั้งยังไม่มีความรู้สึกเลย มีเพียงครางเสียงฮือ ฮือ แบบคนหายใจไม่ออก ในที่สุดพวกเราก็โทรหานายจ้างแต่ก็ดึกมากแล้ว เพื่อนๆ คนงานเลยตัดสินใจหามลุงออกจากห้องพักขึ้นแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ในช่วงที่หามขึ้นแท็กซี่นั่นเอง ลุงเขาเยี่ยวแตกแล้ว พวกเราคิดว่าลุงเขาเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ลุงสิทธิ์ก็ได้เสียชีวิตในที่สุด

ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง อยู่ๆ ลุงก็มาจากพวกเราไปแบบไม่มีวันกลับ พวกเรารู้สึกเสียใจมากๆ กับเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัวลุงเขาต่อไปในอนาคต เพราะลุงสิทธิ์เขาคือผู้นำและกำลังหลักของครอบครัว

ผมเชื่อเรื่องวิญญาณโดยเฉพาะวิญญาณของผู้ตายที่เป็นเพื่อนหรือญาติสนิทที่เคยใช้ชีวิตทำงานหรือกินอยู่ร่วมกันมานาน ในกรณีนี้ผมอยากจะเรียกว่า วิญญาณผีไหลตายในสิงคโปร์วิญญาณมีอยู่จริง สามารถติดต่อสื่อสารหรือปรากฏตัวให้คนที่ยังอยู่ได้สัมผัสได้จริง จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามในช่วงเวลาภายใน 7 วัน ที่นายจ้างเดินเรื่องเพื่อส่งศพกลับบ้าน ก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานที่ลุงทำงานด้วย

คืนหนึ่งลุงสิทธิ์ได้เข้าฝันหัวหน้างานคนไทยที่ลุงทำงานด้วยว่า แกยังมาวนเวียนอยู่ในไซท์งานและยังทำงานด้วยกันอยู่ ในฝันลุงบอกว่าหัวหน้าว่า “ไปป์น้ำในไซท์งานแตกนะ ต้องช่วยกันซ่อมด้วย” หัวหน้าก็บอกในฝันว่า “ลุง... ลุงเสียชีวิตแล้วนะ ลุงต้องกลับบ้านไปอยู่กับลูกเมีย กลับเมืองไทย” ลุงตอบว่า “ช่วยดูแลเงินที่ลุงทำงานค้างไว้ส่งกลับบ้านให้ด้วย และขอให้ช่วยรับภาระช่วยจัดการส่งศพกลับบ้านด้วย” หัวหน้าตกใจตื่นขึ้นจากฝัน วันต่อมา หัวหน้าก็ไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างใดได้โทรบอกเพื่อนๆ ว่า “พวกเรามารวบรวมเงินเพื่อทำบุญให้ลุงเท่าที่จะทำได้กันเถอะ”

ในวันต่อมาเหตุการณ์คล้ายๆ กันก็เกิดขึ้นอีก คราวนี้ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เคยนอนในห้องเดียวกันแต่ชอบนอนตื่นสาย วิญญาณของลุงสิทธิ์ก็ไปปลุกเขาให้ตื่นแล้วถามว่า “...เฮ้ยวันนี้ไม่ไปทำงานหรือ สายแล้วนะ” ทำให้เพื่อนคนนั้นตกใจมากลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแทบไม่ทันเพราะโดนวิญญาณของลุงหลอกเอาตอนกลางวันแสกๆ ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนคนงานอีกหลายคน เพราะลุงไปบอกกล่าวญาติพี่น้องที่ทำงานในสิงคโปร์ให้ช่วยดูแลและส่งศพกลับบ้านด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากส่งศพกลับบ้านแล้ววิญญาณของลุงสิทธิ์ก็ไม่รบกวนพวกเราอีกเลย อาจเป็นเพราะพวกเราได้ช่วยกันจัดการส่งศพกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ลุงเขาคงไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วงแล้ว

หากเรื่องเล่านี้จะมีคุณูปการใดๆ สำหรับเพื่อนแรงงานไทยที่ยังอยู่ หรือสามารถใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจกับผู้อ่านได้บ้าง ผมขอมอบแด่ดวงวิญญาณของลุงศักดิ์สิทธิ์ แก้วพิลา แรงงานไทยผู้ล่วงลับไปแล้ว

ขอให้วิญญาณของลุงไปสู่สุขคติบนสรวงสวรรค์ด้วยเถิด หากชาติหน้ามีจริง ขออย่าให้ลุงต้องเกิดมาเป็นกรรมกรหรือ คนขายแรง อีกเลย ชาตินี้พวกเราคงมีกรรม ต้องทำงานหนักเพื่อขายหยาดเหงื่อแรงงานราคาถูก ความรู้ก็ต่ำ ไหนจะต้องตรากตรำไปหาทำงานรับจ้างต่างถิ่นต่างแดนที่ตัวเองไม่คุ้นเคยแล้วถูกเขาด่าว่าเอารัดเอาเปรียบสารพัด ทั้งยังต้องทนทุกข์ห่างไกลลูกเมียและบ้านเกิดเมืองนอน ลุงสิทธิ์ท่านหมดห่วงหมดภาระไปแล้ว แต่พวกเราที่ยังอยู่นี่สิ...ยังต้องดิ้นรนต่อสู้ต่อไปอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น