Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความในใจของหญิงไทยคนหนึ่ง


โดย มะลิวัน ไกรเดชอนงค์-ลุ้นเกรน

คุณคงไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกในส่วนลึกของลูกผู้หญิงไทยที่มีสามีเป็นคนต่างชาติได้ทั้งหมด ดิฉันก็เป็นหนึ่งในบรรดาหญิงไทยที่ได้แต่งงานกับคนต่างชาติ ดิฉันขอเล่าความเป็นมาของดิฉันสักเล็กน้อยว่า ทําไมถึงได้ไปอยู่ต่างประเทศ ความรู้สึกของดิฉันที่มีมาตลอดจนถึงบัดนี้ และความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมชาติของดิฉันที่ดิฉันได้รู้จักทั้งในประเทศสวีเดนและสิงคโปร์

ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดและเติบโตในครอบครัวคนจีนครอบครัวหนึ่ง เมื่อตอนเด็กๆ ดิฉันจําความได้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ของดิฉันมีร้านซักแห้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟหัวลําโพง มีคนงานช่วยทํางานในร้านหลายคน ดิฉันมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ดิฉันเป็นคนที่หก คุณแม่ได้ส่งพี่สาวคนโตของดิฉันไปอยู่ไหหลำ ประเทศจีน ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็ก เพราะคุณยายอยากเห็นหลานสาวคนแรกของเธอ แต่แล้วคุณแม่ก็ไม่ได้เห็นลูกสาวของเธออีกเลย เพราะประเทศจีนประกาศสั่งห้ามไม่ให้คนออกนอกประเทศทุกคนรวมทั้งพี่สาวของดิฉันด้วย คุณแม่คงจะเสียใจมาก เพราะเป็นลูกสาวคนโตของเธอ เรื่องนี้คุณแม่เล่าให้ลูกๆ ฟัง ดิฉันได้เจอพี่สาวคนโตเป็นครั้งแรกเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ดิฉันและสามี และพี่สาวคนที่สองได้ไปหาเธอที่เกาะไหหลํา พวกเราพี่น้องดีใจมากที่ได้เจอกัน ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอกัน บังเอิญว่าเราได้เจอกันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้าย เราพี่น้องคงทําบุญมาน้อยจึงได้เจอกันเเค่ครั้งเดียว เมื่อโรคมะเร็งมาเยือนเธอ พี่สาวของดิฉันได้เสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

ย้อนกลับมาเล่าเรื่องชีวิตของดิฉัน ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้อะไรมากนัก คุณพ่อต้องการให้ลูกสาวช่วยเหลือทางบ้าน เพราะคิดว่าเป็นผู้หญิง ถ้าแต่งงานไปก็ต้องเป็นแม่บ้าน ไม่จําเป็นต้องมีความรู้มากมาย อันนี้เป็นความคิดของชาวจีนรุ่นเก่าผู้หนึ่ง แต่ดิฉันก็ได้เรียนรู้ทางด้านวิชาการตัดเย็บ ซึ่งมันก็เป็นอาชีพที่ดีของลูกผู้หญิงคนหนึ่งอย่างดิฉัน พี่สาวคนที่สองของดิฉันได้ไปทํางานเลี้ยงเด็กกับครอบครัวของฝรั่งชาวสวีเดน ครอบครัวนี้มีลูก 2 คน คุณแม่เป็นคุณครู ดิฉันไม่ทราบแน่ชัดว่าพี่สาวทํางานอยู่กับครอบครัวนี้กี่ปี ต่อมาพี่สาวก็ได้รับน้องสาวชึ่งเป็นลูกของน้าสาวไปอยู่ที่สวีเดนด้วยและได้หางานให้เธอทํา เธอเลี้ยงเด็กอยู่กับครอบครัวของหมอที่มีลูกอยู่ 1 คน ต่อมาเธอก็ได้เรียนเป็นพยาบาลทํางานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่สวีเดนด้วย ส่วนพี่สาวของดิฉันได้ไปเรียนทํากับข้าวและทําเค็กจนจบ เธอได้รับใบประกาศนียบัตรและได้ทํางานเป็นแม่ครัวที่สถานที่เลี้ยงเด็กของรัฐบาล พี่สาวได้แต่งงานกับชายชาวสวีเดน เธอมีลูก 2 คนภายในเวลา 5 ปี ขณะที่ลูกคนแรกของเธออายุยังไม่ถึงขวบ เธอได้ทําใบรับรองขอให้ดิฉันไปอยู่ที่สวีเดนด้วย เพื่อจะได้ช่วยดูแลเลี้ยงลูกของเธอ ซึ่งก็คือหลานของดิฉันเอง พี่สาวต้องการให้ลูกของเธอรู้จักวัฒนธรรมไทยและพูดภาษาไทยได้บ้าง

ดิฉันออกเดินทางไปสวีเดนเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2522 ตามปกติแล้วเดือนนี้จะเป็นหน้าร้อนยังไม่หนาว แต่ปีนั้นกลับเป็นปีที่หนาวมากเป็นพิเศษ อากาศที่สวีเดนไม่เคยหนาวเย็นจัดมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว ดิฉันได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้นมาก พี่สาวและหลานพาดิฉันออกไปเล่นหิมะทั้งๆ ที่หนาวแต่ก็สนุกมาก ดิฉันอยู่บ้านพี่สาวดูแลหลานและทํางานบ้านให้พี่สาวระหว่างที่เธอไปทํางาน ตกตอนเย็นดิฉันได้ออกไปเรียนภาษาสวีเดนทุกสัปดาห์ ๆ ละ 4 วันๆ ละประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยมีคุณแม่สามีของพี่สาวชึ่งเธอก็เป็นคุณครูสอนหนังสือให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียนที่เดียวกันกับครอบครัวที่พี่สาวดิฉันเคยไปดูแลเด็กๆ ช่วย คือเขาเป็นเพื่อนกัน

คุณแม่สามีพี่สาวในเวลาที่เธอว่างเธอก็จะสอนภาษาสวีเดนให้ดิฉัน ดิฉันต้องขอขอบพระคุณเธอเป็นอย่างมากด้วยบางเวลาพี่สาวก็จะพาเพื่อนของเธอมาแนะนำให้ดิฉันตัดเย็บเสื้อผ้าให้ ทําให้ดิฉันได้รับค่าขนมเพิ่มขึ้น ส่วนสามีพี่สาวไปทํางานต่างประเทศบ่อยมาก ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน บางครั้งต้องเดินทางเป็นอาทิตย์หรือสองอาทิตย์จึงจะได้กลับบ้าน

ดิฉันอยู่บ้านกับพี่สาวและหลานก็มีความสุขดี แต่ลึก ๆ ในใจแล้วใครจะรู้บ้างไหมว่าดิฉันมีความรู้สึกอย่างไร คนในประเทศไทยอาจจะคิดว่าคนที่อยู่เมืองนอกคงจะมีแต่ความสุขความสบาย เพราะเขาอาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ประเทศไทยไม่มี แต่ดิฉันอยากจะบอกให้ทุกคนที่ไม่เคยไปอยู่ห่างไกลบ้าน หรึอไม่เคยอยู่ต่างแดนได้ทราบว่า ความสุขใดๆ นั้นไม่เหมือนกับความสุขและความอบอุ่นที่เราได้รับเมื่อได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักมาก นั่นคือ พ่อ แม่ พี่และน้องในผืนแผ่นดินที่เราเกิด หลายครั้งดิฉันนอนร้องไห้อยู่คนเดียว บางครั้งหลานสาวที่นอนอยู่ห้องเดียวกันก็จะมากอดดิฉันและเช็ดนํ้าตาให้ดิฉัน ขณะที่เธอยังพูดไม่ได้เธอก็ได้แต่มองดิฉันด้วยความสงสัย เวลาต่อมาเมื่อเธอพูดได้และเห็นดิฉันร้องไห้ครั้งใด เธอก็จะถามดิฉันว่าน้าร้องไห้ทําไม แต่ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะบอกหรือบรรยายความรู้สึกของดิฉันให้เธอฟังได้ว่าดิฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงพี่น้องที่อยู่ในเมืองไทย และที่สําคัญดิฉันไม่ต้องการให้พี่สาวต้องเสียใจ เพราะเธอเองก็คงมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกกับดิฉันว่า เธอมีความสุขมากที่ดิฉันได้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอ คํานี้มันทําให้ดิฉันตื้นตันใจมาตลอดเวลา ดิฉันรักและสงสารพี่สาวมากและไม่อยากทําให้เธอต้องเสียใจ

กาลเวลาผ่านไป หลานดิฉันอายุครบ 1 ขวบ พี่สาวได้จัดงานวันเกิดไห้ลูกของเธอ เธอได้เชิญญาติทางสามีและเพื่อน ๆ มาร่วมงานหลายคน ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็กลัวมากเพราะดิฉันพูดภาษาสวีเดนยังไม่ได้ กลัวคนจะถามอะไรเราแล้วเราตอบเขาไม่ได้ ความรู้สึกเช่นนี้มันบอกไม่ถูก เราคงจะอายเขา ระหว่างงานดิฉันได้แต่ก้มหน้าก้มตากิน คิดอยู่ในใจว่าเมื่อไร่พวกเขาจะกินกันเสร็จแล้วจะได้กลับบ้านกันเสียที แต่ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งนาน เพราะพวกเขาทั้งกินและทั้งคุย กว่างานจะเลิกและแขกกลับทุกคน เล่นเอาตะคิวกินดิฉันไปทั้งตัวเลย

เวลาผ่านไปเหมือนเป็นบุเพสันนิวาส บ่ายวันหนึ่งครอบครัวพี่สาวได้ไปดื่มน้าชาที่บ้านเพื่อนของแม่สามีเธอ ดิฉันก็ติดสอยห้อยตามเขาไปด้วย ลูกๆ ของบ้านนี้ก็เป็นเพื่อนของสามีพี่สาว พวกเรานั่งดื่มนํ้าชากันที่โต๊ะในสนามหน้าบ้าน พอดีลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับจากอเมริกา เขาเดินเข้ามาทักทายกับทุกคนแล้วก็เข้าไปในบ้าน เขาออกมาอีกครั้งก็ตอนที่พวกเราจะกลับบ้าน เขาคุยกับพี่สาวดิฉันสักพักแล้วพวกเราก็เดินทางกลับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้พบกับผู้ชายที่กลายมาเป็นเนื้อคู่ในเวลาต่อมา เย็นวันหนึ่งชายคนนั้นแวะมาหาพี่เขยที่บ้าน แต่พี่เขยไม่อยู่ มีแต่พี่สาว หลาน และก็ตัวดิฉัน ดิฉันจําได้ดีเพราะเป็นวันแรกที่เขาเข้ามาคุยกับดิฉัน ขณะที่ดิฉันนั่งทําการบ้านอยู่ ตอนนั้นดิฉันเริ่มจะพูดภาษาสวีเดนเป็นบ้างนิดหน่อย เขาถามดิฉันว่าเรียนอะไร ยากไหม ดิฉันก็ตอบเขาไปว่าเรียนภาษาสวีเดนและก็ยากมาก จะไม่ยากได้อย่างไรในเมื่อดิฉันไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อนเลย เวลาเรียนต้องแปลจากภาษาสวีเดนเป็นภาษาอังกฤษ จากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ดิฉันต้องพยายามเพื่อที่จะพูด อ่านหรือเขียนภาษาของเขาให้ได้ เพราะเวลาที่เราไปไหนมาไหนเราจะได้ฟังพวกเขารู้เรื่องและพูดกับพวกเขาได้ ไม่ต้องกลัว เขาได้รับอาสาจะมาสอนหนังสือให้ดิฉันในยามที่เขาว่าง ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ภาษาเพิ่มขึ้น รวมทั้งเกิดความสนิทสนมมากขึ้นจนกลายเป็นความรัก ในปีพ.ศ. 2526 เราก็แต่งงานกัน ขณะนั้นดิฉันอายุ ได้ 28 ปี

ชีวิตหลังแต่งงานเพิ่มเริ่มต้น ดิฉันเรียนหนังสือทั้งวัน เรียนภาษาสวีเดน เรียนเทคนิคในการวาดแผนผังและออกแบบบ้าน (ภาษาสวีเดนเรียกว่า Karittare) ดิฉันไม่ทราบว่าภาษาไทยแปลว่าอะไร เพราะหาคําแปลไม่เจอ ดิฉันเรียนแผนนี้เป็นเวลา 2 ปีก็จบ อายุการเรียนของดิฉันถ้าจะทํางานวาดแผนผังก็เป็นได้แค่ผู้ช่วยเท่านั้น ถ้าดิฉันไปเรียนต่ออีก 2 ปีก็จะได้ทํางานเป็นสถาปนิก แต่ดิฉันจะต้องไปเรียนที่จังหวัด Gothenburg ห่างจากที่ดิฉันอยู่ประมาณ 300 กิโลเมตร นั่นก็หมายความว่าดิฉันจะต้องย้ายไปอยู่ที่นั้นแต่สามีอยู่อีกเมืองหนึ่ง ดิฉันเลยตัดสินใจหางานทํา ดิฉันเป็นคนไม่เลือกงาน คิดว่างานอะไรก็ทําได้ ถ้าทําแล้วสบายใจ แล้วดิฉันก็ได้งานเย็บเสื้อผ้าที่ร้านขายเสื้อผ้าในเมืองห่างจากบ้านดิฉันไม่ใกลนัก ดิฉันทํางานอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 6 เดือนกว่าก็ลาออก เพราะเจ้าของร้านเห็นแก่ตัวดิฉันไม่ชอบ ต่อมาดิฉันได้ทํางานที่โรงงานซักผ้าที่โรงพยาบาลของรัฐบาล ดิฉันเคยทํางานที่นี่มาก่อนตอนโรงเรียนปิดเทอม มันเป็นงานที่หนักและสกปรกมากๆ ดิฉันทํางานที่นี้ได้ 1 ปีพอดีก็ป่วยหนัก ดิฉันต้องออกจากงานมาอยู่บ้าน หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ปล่อยให้มีลูก

ดิฉันมีลูก 2 คนเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ลูกดิฉันห่างกันประมาณ 3 ปี พอลูกชายดิฉันอายุได้ 5 ปี ดิฉันก็เปิดร้านขายของชําอยู่ในเมืองใกล้บ้าน ดิฉันเปิดร้านได้ 12 ปี ในระหว่าง 12 ปีนี้ดิฉันได้ประสบการณ์ชีวิตและรับรู้เรื่องราวจากหญิงไทยที่ไปอยู่สวีเดนมากมาย บางคนก็มีความสุขในครอบครัวดี แต่บางคนก็ได้รับความทุกข์ ดิฉันได้ช่วยไว้ 2 คนให้เธอไปอยู่บ้านพักสตรีเพราะเธอถูกสามีตบตี มีอีกหลายคนที่เคยมาปรับทุกข์และขอคําแนะนําจากดิฉัน ดิฉันก็ช่วยไปเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้ เพราะถึงอย่างไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่สามารถที่จะเป็นคนดีได้ และที่สําคัญต้องไม่ทําให้สังคมเดือดร้อน

หญิงไทยที่ไปอยู่สวีเดน ใช่ว่าทุกคนจะมีสามีร่ารวย ดิฉันคิดว่าคงเป็นส่วนน้อย หญิงไทยที่ไปอยู่ที่นั่นก็ต้องช่วยกันทํามาหากินเลี้ยงครอบครัว ดิฉันขอเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ดิฉันรู้จัก เธอมาปรับทุกข์และขอคําแนะนําจากดิฉันเป็นประจำ ดิฉันก็ได้ให้คําแนะนํา บางครั้งก็จะว่าเธอด้วย เธอทํางานมากจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวของตัวเอง เธอทํางาน 7 วันไม่เคยหยุด เสาร์และอาทิตย์เธอก็ทํา สามีของเธอได้มาคุยกับดิฉันและขอให้ดิฉันช่วยพูดกับเธอให้เธอทํางานน้อยลง ขอให้เธอมีเวลากับเขาบ้าง เแต่เธอก็ทําไม่ได้ ในที่สุดเขาทั้งสองก็ต้องแยกกันอยู่ ดิฉันเคยถามเธอว่านี่เธอจะเอาอะไรมากมายกับชีวิตขนาดนั้น ทําไมเธอถึงต้องทํางานมากถึงขนาดนั้น เธอเป็นหญิงตัวเล็กนิดเดียว ทําไมต้องทํางานจนแทบไม่มีเวลาจะกิน บางครั้งมื้อกลางวันเธอบอกดิฉันว่าเธอกินขนมปังแค่แผ่นเดียว ไม่ใช่ไม่มีเงินชื้อกินแต่เธอไม่มีเวลาจะกิน บางครั้งเธอไม่สบายเป็นไข้ เธอก็มาซื้อยาที่ร้านดิฉันกินแล้วเธอก็ไปทํางาน ดิฉันบอกให้เธอกลับบ้านไปนอนพัก แต่เธอตอบดิฉันว่า ถ้าหนูกลับบ้านนอนแล้วอีก 7 ปากจะกินอะไรกันละพี่ ดิฉันก็งง เพราะเธอเคยบอกดิฉันว่าเธอมีลูกแค่ 2 คนอยู่ที่เมืองไทย เธอจึงอธิบายให้ดิฉันฟังว่าเธอต้องเลี้ยงพ่อ แม่ ลูก 2 คน น้องสาว 1 คน สามีของน้องสาว และหลานอีก1 คน ดิฉันฟังแล้วก็รู้สึกสงสารเธอ ในเวลาเดียวกันก็โกรธเธอ ดิฉันถามเธอว่า ที่บ้านรู้ไหมว่าเธอทํางานอะไรและลําบากแค่ไหน เธอบอกดิฉันว่าเธอไม่กล้าบอกให้ทางบ้านรู้ คุณผู้อ่านทราบไหมว่า ผู้หญิงคนนี้หนักไม่ถึง 50 กิโล แต่เธอต้องทํางานหนักเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง งานของเธอต้องยืนตัดต้นไม้ตามที่สาธารณะ เช่น ริมถนน หรือสนามหญ้า ถึงฝนจะตก แดดจะออก พายุจะพัด หิมะจะตก เธอก็ต้องทํางาน เสาร์และอาทิตย์เธอไปรับจ้างทําความสะอาดเพื่อที่จะได้เงินมากขึ้นอีก ดิฉันบอกเธอว่า ถ้าวันไหนที่เธอต้องป่วยถึงกับทํางานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว วันนั้นใครจะเป็นคนเลี้ยงดูเธอ ครอบครัวของเธอหรือ อย่าได้หวังเพราะพวกเขาไม่เคยทํางานยากลําบากมาก่อน รู้จักแต่คําว่าขออย่างเดียว ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน เพราะพวกเขาได้มาง่าย อยากได้อะไรก็ขออย่างเดียว ดิฉันรู้ว่าเธอมีความกตัญณูต่อพ่อ แม่ และเป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นพี่สาวที่ดีของน้องสาว แต่ดิฉันคิดว่าเธอทําผิดเพราะเธอไม่ได้สอนให้พวกเขารู้จักทํามาหากินและต้องรับผิดชอบตัวเองก่อน ถ้าวันนั้นมาถึงพวกเขาจะรู้และเธอก็จะต้องเสียใจ

เธอคงจะโกรธดิฉันมากเพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลาเกือบปี เธอไม่เคยมาหาดิฉันอีกเลย เเล้ววันหนึ่งดิฉันก็ต้องตกใจเมื่อเธอมาหาดิฉันที่ร้าน เธอสวัสดีดิฉันแล้วก็ยื่นดอกไม้ให้ดิฉัน เธอบอกว่าคิดถึงดิฉันเสมอแต่ไม่มีเวลามาหา วันนี้เธอดีใจมากที่มีโอกาสมาแวะเยี่ยม เราคุยกันอยู่หลายเรื่อง สุดท้ายเธอก็บอกดิฉันว่าเธอมีเพื่อนชายคนใหม่แล้ว ตอนนี้เธอทํางานน้อยลง เพื่อจะได้มีเวลาให้กลับครอบครัว ดิฉันก็แสดงความยินดีกับเธอ เธอบอกว่าจะพามาให้ดิฉันรู้จักวันหลัง แล้วเธอก็จากไป ตั้งแต่นั้นดิฉันก็ไม่เคยเห็นเธอและเพื่อนชายของเธอเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนของเธอมาที่ร้านดิฉัน ดิฉันเลยถามข่าวเธอจากเพื่อนด้วยความคิดถึงว่าสุขสบายดีไหม คําตอบที่ดิฉันได้รับ คือตอนนี้เธอต้องทํางานมากขึ้นเพราะลูกชายกำลังจะแต่งงาน ทางผู้หญิงเรียกค่าสินสอดเป็นทองคำ 3 บาท เงินสดอีก 2 แสนบาท และแหวนอีกหนึ่งวง ดิฉันฟังแล้วก็อดที่จะสลดใจไม่ได้ นี่คงจะเป็นเวรกรรมของเธอ

ดิฉันอยากจะขอความกรุณาจากคุณผู้อ่านหรือพ่อ แม่ พี่ น้องที่มีลูกมีหลาน ซึ่งมีครอบครัวอยู่ต่างประเทศ ถ้าลูกหลานของคุณส่งเงินมาให้คุณใช้อยู่ทุกเดือนแล้ว กรุณาอย่าขอเงินเพิ่มอีกเลยถ้าไม่จําเป็นจริงๆ เช่น ขอเงินซื้อของฟุ่มเฟือยเหมือนกับที่ข้างบ้านเขามี หรืออยากมีเหมือนทุกอย่างเหมือนคนข้างบ้าน เพราะนั่นคือการสร้างปัญหาให้กับลูกหลานของคุณอย่างมหันต์

อีกอย่างที่ดิฉันอยากจะขอคววามกรุณาจากพี่น้องชาวไทยทุกท่าน ไม่ทราบว่าคนที่มีสามีชาวต่างชาติจะมีความรู้สึกเหมือนดิฉันหรือเปล่า นั่นคือ ทุกครั้งที่ดิฉันและสามีไปเที่ยวเมืองไทย ไม่ว่าจะไปเดินที่ไหน ตามที่สาธารณะหรือตามห้างร้านต่างๆ ดิฉันจะต้องเจอกับสายตาบางคู่ที่มองมาทางดิฉันอย่างดูถูกเหยียบหยาม ดิฉันคิดว่าคงจะมีผู้หญิงอีกหลายคนที่เจอแบบเดียวกับดิฉัน ดิฉันสามารถอ่านสายตาคู่นั้นได้ว่าเขาคิดอย่างไร โปรดเถิดคะ อย่ามองพวกดิฉันด้วยสายตาอย่างนั้นเลย มันผิดด้วยหรือคะที่พวกดิฉันจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ ดิฉันอยากจะบอกกับพวกเขาว่าดิฉันไม่ใช่อีตัวนะ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับสายตาเช่นนั้นใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่าพวกดิฉันจะเป็นอีตัวจริงๆ ทุกอย่างมันก็คืออดีตไปแล้วใช่ไหมคะ ทุกคนเลือกเกิดไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนเลือกเกิดได้ ดิฉันคิดว่าทุกคนคงจะเลือกที่เกิดในที่ทุกคนต้องการ

หลังจากที่ดิฉันปิดร้านแล้ว ดิฉันก็ได้ทํางานกับบริทัษเอกชนดูแลคนที่เป็นอัมพาตหรือพิการตั้งแต่กําเนิด เป็นงานที่หนักมากกว่าที่เคยทําที่โรงงานซักผ้าอีก เพราะดิฉันต้องอดทนทางด้านจิตใจและร่างกาย เป็นงานที่ต้องใช้กําลังมาก และที่สําคัญร่างกายของดิฉันเองก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง เกิดจากการตรากตรำงานหนักมานานเมื่อครั้งที่ดิฉันทํางานอยู่ที่โรงงานชักผ้ามาจนถึงปัจจุบัน สามีของดิฉันก็ไม่อยากให้ดิฉันทํางานแต่ด้วยความที่ดิฉันไม่อยากจะอยู่บ้านเฉยๆ ดิฉันทํางานอยู่ที่นี่ได้ปีกว่า วันหนึ่งสามีดิฉันได้โทรศัพท์จากที่ทํางานของเขา เธอถามดิฉันว่าอยากย้ายที่อยู่ไปอยู่ต่างประเทศไหม ดิฉันก็ตื่นเต้นบอกเขาว่าก็ดี แต่ต้องไม่ใช่ที่อินเดียหรือประเทศอาหรับเพราะดิฉันกลัว สามีบอกว่าไปที่สิงคโปร์ ดิฉันดีใจมากเพราะจะได้อยู่ใกล้ประเทศไทย บอกเขาไปว่าตกลงเลยคะ

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ ศ. 2550 เป็นวันที่ดิฉันและสามีได้ย้ายมาอยู่ที่สิงคโปร์ ครั้งแรกที่ดิฉันย้ายมาอยู่ที่นี้ ดิฉันคิดว่าคงจะหาเพื่อนที่นี้ได้ไม่อยากเพราะคนสิงคโปร์ก็คงจะเหมือนคนไทย แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิดของดิฉันอย่างมหันต์ ดิฉันได้ประสบกับตนเองเมื่อดิฉันได้ย้ายมาอยู่ที่นี้ ดิฉันพยายามที่จะผูกมิตรกับคนข้างบ้านโดยการส่งยิ้มและทักทายพวกเขาแต่ก็ไม่เป็นผล มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันจะลงลิฟท์ ผู้หญิงคนข้างบ้านก็เข้ามาด้วย ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์ ดิฉันก็ทักและส่งยิ้มให้เธอ เธอก็ทักดิฉันกลับ ดิฉันคิดอยู่ในใจว่าคงจะได้เพื่อนคราวนี้ ผู้หญิงคนนั้นได้ถามดิฉันว่า เพิ่งย้ายมาอยู่หรือ ดิฉันก็ตอบไปว่าใช่ แล้วดิฉันก็พูดว่าที่นี้เงียบสงบดีนะ เธอก็ตอบว่าใช่ แล้วเธอก็ถามดิฉันว่ามาจากที่ไหน พอดิฉันบอกเขาว่าย้ายมาจากสวีเดนแต่ดิฉันเป็นคนไทย เขาก็ไม่พูดอะไรอีก จนเราเดินออกจากลิฟท์ ทุกวันนี้เราก็ไม่เคยคุยอะไรกันอีกเลย ในช่วงเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ดิฉันได้กลับบ้านที่เมืองไทย 5 ครั้ง เพราะสามีสงสารดิฉันที่ต้องนั่งอยู่บ้านคนเดียวไม่มีเพื่อนได้แต่โทรศัพท์คุยกันกับพี่ๆ ที่อยู่เมืองไทยและที่สวีเดนระหว่างที่สามีต้องทํางาน

ครั้งแรกที่ดิฉันรู้ว่ามีโกลเด้นไมล์เป็นจุดศูนย์รวมคนไทยและมีอาหารไทยขายที่นี้ ดิฉันดีใจมาก ดิฉันและสามีมาทานข้าวเหนียวส้มตําที่นี้อย่างมีความสุขและเอร็ดอร่อย จากนั้นเราก็เดินดูร้านค้า ดิฉันเห็นร้านหนึ่งขายขนมไทย ดิฉันก็เดินเข้าไปถามว่าเขาขายกะทงละเท่าไร คนขายบอกดิฉันว่า 2 เหรียญ ดิฉันก็บอกเขาว่าวันนี้อิ่มแล้ว เดี๋ยววันหลังจะมาซื้อนะคะ แต่ดิฉันต้องตกใจและคิดไม่ถึงว่าคําตอบที่ดิฉันจะได้รับ จะเป็นการดูถูกและเหยียบหยาม ดิฉันจําได้ไม่เคยลืม คนขายพูดว่า คิดว่ามีผัวฝรั่งแล้วจะได้กินดี สู้คนไทยก็ไม่ได้ ดิฉันเดินห่างออกจากร้านและเล่าให้สามีฟัง สามีดิฉันบอกอย่าไปสนใจกับคําพูดของเขา ดิฉันคิดว่าทําไมเขาตอ้งพูดแบบนี้ด้วย เราก็คนไทยเหมือนกัน ดิฉันเองก็เคยเป็นแม่ค้ามาก่อนแต่ดิฉันไม่เคยพูดหยาบคายหรือดูถูกลูกค้าเลย ทั้งที่ดิฉันรู้ว่าพวกเขาทํางานอะไรกันมาก่อน แล้วร้านนี้เป็นอาหาร เขาจะคิดกับพวกคนงานที่มานั่งกินเหล้าเมากันเป็นกลุ่มๆ กับพวกผู้หญิงที่มาขายบริการนี้อย่างไร มันไม่หน้าเเปลกอะไรเลยที่คนสิงคโปร์เขาจะดูถูกคนไทย เพราะเราคนไทยด้วยกันเขายังคิดและพูดดูถูกกันเองยังนี้ แล้วจะไม่ให้คนสิงคโปร์คิดดูถูกคนไทยได้อย่างไร

ดิฉันต้องขอบใจร้านขายยนมจีนมากที่แนะนําให้ดิฉันได้รู้จักสมาคมเพื่อนแรงงานไทยในสิงคโปร์ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานแรงงานไทยที่ตั้งอยู่บนชั้น 3 อาคารโกลเด้นไมล์ ทําให้ดิฉันได้รู้จักกับคนไทยหลายคนที่นี้ ได้เรียนภาษาจีนกับคุณครูชินหยี ได้เรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์พัฒนา อาจารย์เกดและอาจารย์เอ๋อ ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่ได้ให้ความรู้และสิ่งดี ๆ กับดิฉันมา ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบคุณอีกครั้งคะ

ขณะนี้ดิฉันและสามีได้มาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่สิงคโปร์ 2 ปีกว่าแล้ว ถ้าจะถามดิฉันว่าชอบที่นี้ไหม ดิฉันขอตอบว่าชอบคะ เพราะที่นี่บ้านเมืองของเขาสะอาดตาดี ปลอดภัยไม่ค่อยมีโจรผู้ร้าย ที่สําคัญที่ดิฉันชอบมากคือ กฏหมายของเขาศักดิ์สิทธิ์ดีคะ แต่ดิฉันคิดว่าคนสิงคโปร์ส่วนมากเป็นคนไม่มีนํ้าใจ เป็นเห็นแก่ตัว และดูถูกคนที่ด้อยกว่า ดิฉันอาจจะดูผิดไปก็ได้คะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบชีวิตที่อยู่ในสวีเดนกับชีวิตที่อยู่ในสิงคโปร์ มันก็แตกต่างกันตรงที่ว่าอยู่ที่นี้ดิฉันไม่ได้ทํางาน เรียนหนังสืออย่างเดียว ยังดีที่สิงคโปร์ว่าอยู่ใกล้ประเทศไทย จะเดินทางไปเยี่ยมบ้านหรือไปเที่ยวเมื่อไรก็ได้ อากาศที่สิงคโปร์ก็ร้อน และพวกเราก็ต้องอยู่ห่างไกลจากลูก ตอนอยู่ที่สวีเดนชีวิตของดิฉันรู้สึกมีค่าเพราะได้ทํางาน มีเพื่อนสนิทอยู่หลายคน ถึงอากาศจะหนาวแต่ดิฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่กับลูกแบบครอบครัวที่อบอุ่น

ชีวิตของดิฉันที่ได้ผ่านประสบการณ์มาหลายอย่าง เริ่มต้นจากศูนย์มีทั้งทุกข์ มีทั้งสุขสมหวังและไม่สมหวัง จนมาถึงจุดนี้ได้ ดิฉันขอกราบแทบเท้าคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ พี่เขย และพี่สาวทุกคน รวมทั้งสามีของดิฉันด้วยที่พวกเขาคอยช่วยเหลือและให้กําลังใจดิฉันมาตลอดเวลา ดิฉันขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง ดิฉันภูมิใจที่ได้เกิดมาในครอบครัวของคุณแม่และพี่น้องที่รักและเป็นห่วง ดิฉันมีสามีและลูกที่ดี ดิฉันรักและเทิดทูนพวกเขาตลอดเวลาคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น