Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เส้นทางชีวิตของคนขายแรง


โดย เอกพล คนโคราช

ผมเป็นคนอำเภอชุมพวง โคราช แต่ตอนนี้แยกออกเป็นอำเภอเมืองยาง ผมอยากเล่าประสบการณ์ชีวิตคนขายแรงงานให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ถึงการทำงานในต่างแดนว่ามันลำบากมากน้อยเพียงใด ผมเริ่มมาทำงานในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่เรียนจบ ม. 6 หมาดๆ เมื่อปี พ.ศ. 2533 ตอนนั้นผมอายุ 18 ปี หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย ผมไม่ได้เรียนต่อ ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีใจรักด้านการเรียน แต่ทางบ้านไม่มีเงินส่งเรียน พ่อแม่ผมจึงตัดสินใจให้มาทำงานที่นี้ สมัยก่อนนั้นคนบ้านเราชอบมาทำงานที่สิงคโปร์ ตอนนั้นเสียค่าหัว 35,000 บาท สมัยนั้นถือว่าแพงมากครับ ผมเดินเรื่องกับบริษัทนายหน้าประมาณ 3-4 เดือน ผมก็ได้เดินทาง บริษัทนายหน้าจัดให้ผมเดินทางโดยรถไฟ การเดินทางของผมก็เริ่มขึ้นที่หัวลำโพงกับเพื่อนแรงงานรุ่นเดียวกันประมาณ 35 คน ออกเดินทางจากหัวลำโพงผ่านหาดใหญ่ก็เช้าพอดี แล้วก็เดินทางจากหาดใหญ่มาถึงด่านยะโฮร์ก็เช้าของวันใหม่ มีเอเย่นต์สิงคโปร์มารับที่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง
สมัยก่อนคนมาทำงานแบบถูกต้องตามกฎหมายก็มี และมาทำงานแบบไม่ถูกต้องก็มี คนงานที่เข้ามาไม่ถูกต้องเรียกว่า "เซียนจ้อบ" แต่ผมมาทำงานแบบถูกต้อง มีเพื่อนๆ ผมที่เข้ามาทำงานแบบไม่ถูกก็มี คนที่มาไม่ถูกต้องเอเยนต์จะให้ถือ “เวิร์คสวม” (ใช้ใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง แต่เป็นของคนอื่น) คือให้ใช้เวิร์คคนอื่นแทน แต่เอเย่นต์จะดูหน้าทีละคน แล้วถามว่าชื่ออะไร เมื่อรู้จักชื่อแล้วเขาก็จะดูหน้าว่าหน้าเหมือนใครแล้วก็เอาเวิร์คให้คนนั้น เรียกชื่อตามเวิร์คที่ถือ เมื่อ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองถามชื่อให้บอกชื่อตามเวิร์คที่ถือ แต่ก่อนเป็น “เวิร์คขาว” (ใบอนุญาตทำงานพิมพ์ด้วยกระดาษสีขาวธรรมดา) ไม่เหมือนทุกวันนี้

เมื่อเข้ามาถึงสิงคโปร์ก็แยกย้ายกันไปบริษัทละ 3-4 คน ส่วนผมกับเพื่อน 4-5 คนได้ทำบริษัทตัดต้นไม้ ปลูกหญ้า เอเย่นต์ไปส่งที่บริษัท เขาจัดที่นอน ถ้วยชาม หม้อ และเตานํ้ามันให้ แต่ก่อนหุงข้าวต้องใช้เตานํ้ามันโซล่า ยังไม่มีเตาแก๊สเหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นลำบากมาก ที่บริษัทผมมีคนงานประมาณ 30 - 40 คน ค่าแรงวันละ 16 เหรียญ (อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 1 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ต่อ 10 บาท) จากบ้านมาใหม่ๆ ก็คิดถึงบ้านมากเพราะว่าผมไม่เคยออก จากบ้านไปไหนไกลๆ งานที่ทำก็ลำบากมาก ปีนต้นไม้ ตัดแต่งต้นไม้เสี่ยงอันตรายมาก จะหนีกลับบ้านก็ไม่ได้เถ้าแก่ไม่ให้กลับ ผมต้องทนทำงานเรื่อยมา พออยู่นานเข้าก็เริ่มติดเพื่อนไม่อยากกลับบ้าน
การหาอยู่หากินนั้นง่ายมาก เพราะว่าบริษัทอยู่ติดกับป่า วันอาทิตย์ไม่ได้ทำงานก็พากันไปหาผัก หน่อไม้ และปลา ไม่ค่อยได้ซื้ออาหารเท่าไหร่ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก แถวที่ผมพักจะเป็นสวนผลไม้เดิมที่คนสิงคโปร์ทิ้งร้างไว้ รัฐบาลเขาย้ายคนไปอยู่แฟลตในเมืองแล้วเวนคืนที่ดินที่สวนให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลหมด ผลไม้ก็มีพวกมะม่วง เงาะ ทุเรียน ส่วนทุเรียนนั้นหาไม่ค่อยจะทันคนสิงคโปร์ คนที่นี่เขาจะไปเฝ้าให้มันหล่นแล้วค่อยเก็บ ส่วนพวกผมนั้นไม่ค่อยมีเวลาเพราะต้องทำงาน หยุดพักเฉพาะวันอาทิตย์ พวกผมจะปีนขึ้นไปใช้เชือกผูกขั้วทุเรียนไว้กับกิ่งเพื่อไม่ให้มันหล่น พอมันสุกก็ขึ้นไปเก็บเอาใส่กระสอบมาที่พัก แต่ทุกวันนี้สิงคโปร์มีป่าเหลือน้อยเต็มที ส่วนมากจะเป็นเขตป่าหวงห้าม
สำหรับงานที่ทำ ส่วนมากโฟร์แมนจะให้ผมตัดต้นไม้ ตอนแรกก็ตัดอยู่ข้างล่าง พอรู้เรื่องงานแล้วโฟร์แมนก็ให้ปีนต้นไม้ขึ้นไปตัดแต่งกิ่ง รุ่นพี่สอนวิธีการขึ้นต้นไม้และวิธีตัด เราก็ดูตัวอย่างจากรุ่นพี่เพราะเขาทำงานมาหลายปี การตัดแต่งกิ่งก็ใช้รถกระเช้าเครน ถ้าตัดตามแฟลต รถเครนเข้าไม่ถึงก็ต้องใช้คนปีนขึ้นไปตัดแทน การตัดมีหลายอย่าง เช่น ตัดตกแต่งกิ่ง ตัดให้เหลือแต่กิ่งแล้วให้มันแตกกิ่งแตกใบใหม่ และตัดทิ้งไปเลยแล้วเอาต้นใหม่มาปลูกแทน
คนงานที่ทำหน้าที่ขึ้นตัดต้นไม้ เงินเดือนจะขึ้นเร็วกว่าคนที่ทำงานอยู่ด้านล่าง ผมทำอยู่ 4 ปีจากเงินค่าแรงวันละ 16 เหรียญขึ้นเป็น 20 เหรียญ ถ้าทำงานอยู่ด้านล่างจะได้ค่าแรงสูงสุดแค่ 20 เหรียญต่อวัน แต่ก่อนค่าครองชีพที่สิงคโปร์ไม่แพงก็ถือว่าพออยู่ได้ ที่พักของผมค่อนข้างอิสระ เถ้าแก่ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ เอาผู้หญิงมาอยู่ได้เลย พวกผู้หญิงมาอยู่กับผมหลายคน เขามาทำงานหาเงิน เขามาขออาศัยพักด้วย ถ้าไปเช่าโรงแรมมันแพง ผมก็เห็นใจเพราะคนไทยด้วยกัน เขาจะมีวีซ่าท่องเที่ยว บางคนก็ได้ 15 วัน ถ้าพาสปอร์ตใหม่ก็ได้เป็นวีซ่านานเป็นเดือน หมดอายุวีซ่าแล้วก็ออกไปแล้วค่อยเข้ามาใหม่ บางทีผมก็พาไปทำงานตามแค้มป์คนงาน ประมาณ 2 มุ่ม พวกผมจะพานั่งแท็กซี่ไปหาเพื่อน ส่วนมากผู้หญิงทำงานไม่ค่อยได้เงินสด คนงานที่เป็นลูกค้ามักจะ “เซ็น” (เชื่อ) ไว้ก่อน พอเงินเดือนออกผมก็ไปเก็บค่าบริการทางเพศมาให้ ผมพาผู้หญิงไปทำงานทั่วสิงคโปร์ ความจริงผมไม่ได้เงินหรอก ผู้หญิงเขาจะให้เปอร์เซ็นต์ผมแต่ผมไม่เอา บางวันโชคดีก็มีคน “อ๊อฟ” ไปนอนค้างด้วย บางวันโชคไม่ดีเจอตำรวจก็ต้องพากันหลบเข้าป่า หลบๆ ซ่อนๆ พอตำรวจไปแล้วก็ค่อยพากันออกมาทำงานต่อ ถ้าวันไหนเจอแขกงี่เง่าผมก็เข้าไปช่วย “เคลียร์” ผมต้องทนเพราะเห็นใจผู้หญิงทำงาน ส่วนมากผมจะกลับห้องประมาณตีหนึ่งทุกวัน
การทำงานของผู้หญิงขายบริการเมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เขาจะทำงานกันในป่า ผมตามไปสอบถามผู้หญิงบางคนได้ความว่า บางคนก็โดนหลอกมาเสียเงินมาทำงานในสิงคโปร์ 40,000-50,000 บาทแล้วต้องมาทำงานฟรีสองร้อยคนค่อยหมด “แท็ค” ใช้หนี้เสร็จถึงจะทำงานได้เงินเป็นของตัวเอง เดี๋ยวนี้เขาจะมีบ้านพักให้อยู่รวมกัน พอได้เวลาประมาณสองทุ่ม เอเย่นต์ก็จะพาไปหาเงินในป่า ป่าที่ใกล้ที่พักคนงานอยู่ที่แถวยี่ชุนและวู้ดแลนด์ ป่าที่ยี่ชุนมีซุ้มผู้หญิง 3-4 ซุ้ม ตามที่ผมเห็นจะมีแมงดาคุมผู้หญิงของใครของมัน เขาจะมีคนกางซุ้มเป็นห้องๆให้ผู้หญิงนอนกับแขก ดูก็คล้ายๆ กับการตั้งค่ายพักแรมของลูกเสือ

เมื่อแท็กซี่มาส่งถึงปากทางก็จะพากันลงแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่า เพราะเขาจะมี “สาย” (คนดูต้นทาง) โทรศัพท์บอกให้รู้ เมื่อถึงที่ทำงานพวกแมงดาก็จะให้จุดธูปขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง ส่วนมากผู้หญิงจะได้แขกเป็นพวกคนงานบังคลาเทศและคนจีนไชน่า ช่วงเงินค่าจ้างออกพวกผู้ชายจะมาเที่ยวเยอะ ผู้หญิงบางคนได้แขก 6- 7 คนต่อคืน พอทำงานได้ก็เอาเงินไปให้แมงดาและพวกแมงดาก็จะจดชื่อไว้ว่าใครได้แขกกี่คน พวกที่ไม่เที่ยวผู้หญิงก็นั่งเล่นไฮโล มีวงไฮโลเหมือนงานบุญตามบ้านนอกเราเลยครับ มีคนเอานํ้าเอาเบียร์ไปขาย แต่ถ้ามองเข้าไปจากข้างนอกจะไม่เห็น ถ้าเข้าไปข้างใน (ในป่า) จะเห็น ไม่ใช่ตำรวจจะไม่รู้ ตอนแรกทำที่ตามพื้นที่ป่าด้านหลังที่พักคนงานตำรวจจับไปแล้วหนึ่งครั้ง ตอนนี้ย้ายมาทำด้านข้าง ลึกเข้าไปในป่าอีก ยังไม่รู้ว่าจะโดนตำรวจจับอีกเมื่อไร ส่วนมากตำรวจจับได้เฉพาะผู้หญิง พวกแมงดาจับไม่ได้ ผู้หญิงจะไม่มีการซัดทอด เพราะกลัวตัวเองจะได้รับอันตราย เมื่อผู้โดนจับถูกส่งกลับเมืองไทย พวกแมงดาก็หาผู้หญิงใหม่เข้ามาทำงานได้อีก วัฎจักรการขายบริการทางเพศตามป่าก็จะหมุนเวียนอย่างนี้ตลอด
ผมทำงานตัดต้นไม้และปลูกหญ้าได้ 4 ปีผมก็ได้กลับบ้าน เถ้าแก่บอกให้เปลี่ยนชื่อแล้วเข้ามาใหม่ เพราะเมื่อก่อนกฎหมายแรงงานสิงคโปร์อนุญาตให้ทำงานได้แค่ 4 ปี ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้าใครผ่านการทดสอบฝีมือแรงงานก็สามารถอยู่ทำงานได้นานเป็น 10 ปี หลังจากผมกลับบ้าน ผมก็ได้บวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ พอสึกออกมาก็มีเพื่อนชวนไปทำงานที่ประเทศบาร์เรน ผมตัดสินใจไปเพราะใจผมอยากรู้ว่าการทำงานที่ประเทศตะวันออกกลางเป็นอย่างไร ได้ยินแต่คนรุ่นก่อนเขาเล่าว่าทำงานอยู่กลางทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ผมไปสมัครงานกับบริษัทนายหน้าแห่งหนึ่ง รองานอยู่ประมาณ 5-6 เดือนผมจึงได้งาน ต้องนั่งเครื่องบินประมาณ 7 ชั่วโมง ต้องพักอยู่ที่สนามบินประเทศปากีสถานหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อไปถึงกรุงมานามา ประเทศบาร์เรน

บาร์เรนเป็นประเทศไม่ใหญ่อยู่ติดกับประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศแหล่งรวมนํ้ามัน บริษัทที่ผมไปทำงานชื่อบริษัทอับดุลนัด เป็นบริษัทผลิตท่อนํ้ามัน ท่อก๊าซ ที่พักคนงานตั้งอยู่ห่างจากโรงงานราว 10 กิโลเมตร ที่แค้มป์พักคนงานบริษัทสร้างกำแพงล้อมรอบไว้หมดเพราะกันทราย ถ้าอยู่ห่างกันสักสองเมตรจะมองไม่เห็นกันเลย ประเทศนี้มี 2 ฤดูคือร้อนกับหนาวเท่านั้น หน้าหนาวจะมีฝนตกด้วย อากาศหนาว 6 เดือน แล้วร้อน 6 เดือน พอถึงหน้าร้อน ถ้าเอาทรายฝังกลบไข่ไว้ ไข่จะสุกและร้อนมาก หน้าหนาวก็หนาวมากต้องใส่เสื้อกันหนาว 3-4 ตัวเวลาทำงาน คนบาร์เรนนับถือศาสนาอิสลามมี 2 นิกายคือ นิกายสุหนี่และนิกายชีอะห์ ส่วนมากจะเป็นนิกายชีอะห์ที่เป็นพวกหัวรุนแรง สองนิกายนี้ไม่ค่อยถูกกันจะอยู่หมู่บ้านใครหมู่บ้านมัน
วันอาทิตย์บางวัน พวกเราคนก็ไปเที่ยวทะเลทรายริมทะเล ตามทะเลจะมีท่อนํ้ามันต่อกันเป็นท่อยาวเป็นจุดๆ มีบ่อโยกนํ้ามันจากบ่อหนึ่งเหมือนบ่อโยกนํ้าบาดาลบ้านเรา ความจริงประเทศบาร์เรนไม่ค่อยมีที่เที่ยวเท่าไหร่ ในเมืองหลวงมานามา ดูๆก็ไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ แรงงานหญิงไทยก็มี ส่วนมากจะไปทำงานเย็บผ้า เปิดร้านเสริมสวย บางคนก็แต่งงานกับคนบาร์เรนมีครอบครัวอยู่ที่นั่นเลย ตอนทำงานที่บาร์เรนก็มีการแข่งขันฟุตบอลเหมือนที่สิงคโปร์ มีหลายบริษัทแข่งขันกัน บริษัทของผมแข่งชนะ 2 ครั้ง พวกเราเล่นฟุตบอลกันที่สนามทราย ไม่มีสนามหญ้าเลย ส่วนใหญ่จะแข่งขันกันในหน้าหนาว
ผมทำงานอยู่บาร์เรน 4 ปีก็ขอกลับบ้าน ผมกลับมาอยู่บ้านได้ประมาณหนึ่งปีผมก็ไปสมัครงานไปทำงานไต้หวัน ผมสมัครกับกรมแรงงาน รออยู่ 3 เดือนทางกรมแรงงานได้เรียกให้ไปสอบ ผมสอบติดช่างเชื่อมของบริษัทซัมซุงไปทำที่โรงกลั่นนํ้ามันฟอร์มูซาของประเทศไต้หวัน ก่อนไปเผอิญผมเป็นโรคพยาธิ แต่เจ้าหน้าที่กรมแรงงานก็อนุญาตให้ผมเดินทางเพราะว่าวีซ่าผมออกแล้ว เจ้าหน้าที่บอกผมว่าไม่เป็นไรถ้ากินยาไม่ทันไปถึงไต้หวันแล้วก็เอาอุจาระของคนที่ผ่านแล้วไปให้หมอตรวจก็ได้ ผมทำตามที่เจ้าหน้าที่กรมแรงงานแนะนำ ถ้าใครตรวจแล้วไม่ผ่านจะต้องถูกส่งตัวกลับภายใน 2 อาทิตย์ รุ่นผมโดนส่งกลับบ้าน 2 คน

โรงกลั่นนํ้ามันฟอร์มูซาอยู่ติดทะเลเหนือของไต้หวันอยู่เขตไมเรียว พื้นที่เป็นทรายกว้างแปดคูณแปดกิโลเมตร เป็นโรงกลั่นใหญ่มีหลายบริษัทประมูลทำงานที่นั้น ส่วนบริษัทซัมซุงมีแค้มป์ของคนไทยทั้งหมด 6 แค้มป์และมีแค้มป์ของคนงานฟิลิปปินส์และเกาหลีด้วย ผมทำงานที่ไต้หวันก็เหมือนทำที่ตะวันออกกลางเพราะมีแต่ทรายสุดลูกหูลูกตา ผมทำได้ 6 เดือนโฟร์แมนก็เรียกตัวมาพบที่ออฟฟิศ ตอนแรกผมไม่ทราบว่าทำไม ต่อมาทางออฟฟิศบอกว่า ผมตรวจโรคไม่ผ่านเป็นพยาธิ ผมก็ถามว่า "ไม่ผ่านได้อย่างไร ก็ผมทำงานได้ 3 เดือนแล้ว" ผู้จัดการไซท์งานบอกว่า "ผลใบตรวจโรคของคุณมันซ้อนอยู่กับของคนอื่นเลยมองไม่เห็น เพิ่งจะเห็นวันนี้ พรุ่งนี้คุณต้องกลับบ้าน" ผมไม่รู้ว่าทำไมผลการตรวจอุจจาระของผมไม่ผ่าน ผมเอาอุจจาระของเพื่อนไปตรวจ แต่ทำไมเพื่อนมันผ่าน ผมกลับไม่ผ่านก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน
ในที่สุด ผมต้องกลับเมืองไทยคนเดียว ผมกลับมาอยู่บ้านได้เดือนหนึ่ง คราวี้ผมไปเปลี่ยนชื่อใหม่และทำเรื่องไปทำงานไต้หวันอีก เพราะไต้หวันไม่เอาคนเก่าที่เคยไปทำงานมาแล้ว ผมไปสอบกับกรมแรงงานใหม่ ผมไม่ไปสมัครที่บริษัทเอกชนเพราะว่าเสียค่าคอมมิชชั่นเป็นร่วมแสนสองแสนบาท แต่ไปสมัครที่กรมแรงงานไปฟรี ผมเลือกสอบตำแหน่งโฟร์แมนช่างเชื่อม ผมสอบผ่านและผมก็ได้ไปไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง เดินทางไปลงที่สนามบินไทเป พอเจ้าหน้าที่ถามว่า “เคยมาทำงานประเทศนี้ไหม” ผมตอบไปว่า " ไม่เคยมาครับ" เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบกลับมาว่า "โกหก" แล้วเอาหลักฐานเก่ามาให้ผมดู เป็นหน้าพาสปอร์ตชื่อเดิมของผม ผมต้องจำนนต่อหลักฐาน ตำรวจที่สนามบินพาไปพักที่ห้องในสนามบิน ในห้องนั้นมีหลายคนหลายชีวิต ผมโดนจับขังอยู่ 2 วันตำรวจก็ส่งตัวผมกลับเมืองไทย

ผมยังไม่หมดทางสู้ ผมคิดว่าไปทำงานประเทศอื่นไม่ได้ก็ยังมีประเทศสิงคโปร์ที่ไปง่ายเพราะผมเคยมาแล้ว ผมเลยตัดสินใจไปสอบวัดฝีมือแรงงานที่ศูนย์ขอนแก่นอิเลคเทรน ตั้งอยู่ที่ลำลูกกา ปทุมธานี ผมสอบผ่านได้เข้ามาทำงานที่บริษัทไปป์น้ำประปา แล้วก็เปลี่ยนมาทำอีกหลายบริษัท ผมทำงานในสิงคโปร์เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดนี้คือ เส้นทางชีวิตคนขายแรงของผม ผมผ่านการทำงานเมืองนอกมาร่วม 20 ปียังไม่ได้สัมผัสกับคำว่า "สมหวัง" ไม่รู้ว่ามันมีรสชาติอย่างไร ผมว่า ชีวิตคนเรานี่ก็แปลก บางทีเราก็พอมีฝีมือ แต่ดวงไม่นำพา วาสนาไม่ส่ง เราก็หาความสุขสมหวังไม่เจอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น