โดย สาวใต้
ฉันเป็นผู้หญิงไทยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ฉันเคยทำงานให้กับบริษัทหนึ่งในกรุงเทพฯได้ปีครึ่ง หลังจากเรียนจบ ม. รามคำแหง ฉันลาออกจากงานเพื่อที่จะแต่งงานกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งฉันแน่ใจมากๆ เลยว่าเขาจะเป็นสามีที่ดีที่สุดในอนาคตของฉัน หลังจากแต่งงานได้เกือบ 1 ปี ได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน คุณผู้อ่านต้องติดตามในหน้าต่อไปคะ ฉันอยากให้คุณผู้อ่านโดยเฉพาะผู้หญิงทุกท่านได้อ่าน หรือว่าคุณผู้อ่านเป็นผู้ชายช่วยบอก
ต่อๆ กันไปยังภรรยาหรือญาติสนิทมิตรสหายก็คงไม่เสียหายอะไรใช่ไหมคะ
ฉันได้ย้ายมาจากประเทศสิงคโปร์หลังจากแต่งงาน ฉันไม่ได้ทำงานนอกบ้าน หน้าที่ฉันต้องทำคือ ดูแลบ้าน ทำกับข้าวและเรียนภาษาอังกฤษในตอนบ่ายของวันจันทร์ถึงศุกร์ของสถาบันหนึ่งที่เปิดเรียนสอนภาษาโดยเฉพาะ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อฉันไปถึงโรงเรียนฉันไม่สามารถเรียนได้เพราะว่าฉันมีอาการปวดประประจำเดือนเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตคุณครูกลับบ้าน นี่ไม่ใช่เดือนแรกที่ฉันมีอาการปวดอย่างนี้ ฉันมีอาการปวดประจำเดือนทุกเดือน จนฉันเคยบ่นกับสามีว่า ถ้าเป็นไปได้ชาติหน้าขอเกิดเป็นผู้ชายดีกว่า...
ถึงแม้ว่าฉันจะมีแพทย์ประจำตัวที่สิงคโปร์ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะตรวจภายใน อาจเป็นเพราะว่าคุณหมอเป็นผู้ชาย ฉันยอมรับคะว่าฉันอาย แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างฉัน เมื่อสามีบอกว่าเขาจะไปสัมมนาที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งตรงกับวันธรรมดาเพราะว่าปกติฉันจะกลับกรุงเทพฯ ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่โรงพยาบาลปิดทำการ สามีแนะนำให้ฉันไปตรวจภายในที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ที่ฉันคิดว่าดีที่สุด เพราะว่าฉันสามารถเลือกหมอที่เป็นผู้หญิงได้ ในที่สุดฉันก็ได้ไปตรวจภายในที่โรงพยาบาลหนึ่ง ตรวจกับหมอผู้หญิง คุณหมอตรวจภายในและ
และอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) ต้องรอผลตรวจถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งดูเหมือนมันนานมากๆ เมื่อคุณหมออ่านผลการตรวจให้ฟังว่า ฉันมีก้อนซีสต์ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า "ช็อคโกแลตซีสต์" ( Chocolate Cyst ) ก้อนใหญ่ขนาด 10.07 คูณ 7.56 x 7.38 เซ็นติเมตร อยู่ที่รังไข่ ( Overy) แต่ด้วยความที่ก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่จึงได้ห้อยมาอยู่ที่ระหว่างมดลูก ( Uterus) และกระเพาะปัสสาวะ (Bladder) คุณหมอแนะนำว่าควรจะผ่าตัดให้เร็วที่สุด
เท่านั้นแหละคะ เมื่อฉันได้ยินคำว่า " ผ่าตัด" คุณเชื่อไหมคะว่า ฉันมีอาการเหมือนขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ นํ้าตาก็เริ่มไหลออกมา ฉันไม่ได้คิดมาก่อนและไม่ได้ทำใจมาก่อนด้วย เพราะคิดว่าอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นปกติของผู้หญิง อาการนี้ก็เกิดขึ้นได้กับทั้งคนโสดและคนที่แต่งงานแล้ว คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดให้เร็วที่สุด เพราะว่าก้อนซีสต์มีโอกาสใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเกิดถุงนํ้าเลือด (Chocolate Cyst) ที่รังไข่ทำให้มีเลือดออกมาและขังตัวสะสมกันอยู่นานจนกลายเป็นถุงเลือดที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ
ฉันกลับบ้าน ในใจก็คิดมากว่าจะโทรไปปรึกษาคุณแม่ดีหรือไม่ ฉันเป็นทุกร์มาก จนสามีกลับมาฉันเอาผลตรวจให้เขาดู จากนั้นเขาได้พาฉันไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เสียค่าใช่จ่ายแพงมาก เพราะว่าเขาได้ยินเพื่อนเขาว่า ที่นี้ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ไปถึงโรงพยาบาลประมาณหนึ่งทุ่ม โชคดีที่โทรนัดไว้ก่อนครึ่งชั่วโมง ฉันเลยได้เข้าห้องตรวจเลยกับหมอที่เข้าเวรอยู่ เพื่อต้องการผลตรวจให้ตรงกันกับโรงพยาบาลแรก ผลปรากฏว่าผลที่ตรวจออกมาตรงกัน คุณหมอแนะนำวิธีผ่าตัดมีสองวิธี คือการผ่าตัดเปิดหน้าท้องหรือผ่าตัดธรรมดาเป็นการผ่าตัดเอามดลูกทั้งหมดออก (ถ้าซีสต์ขนาดใหญ่มากๆ) ในกรณีนี้จะไม่กลับมาเป็นอีกแน่นอน แต่ไม่สามารถมีลูกได้คะ ส่วนการผ่าตัดแบบที่สองคือ การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่อง คือทำแผลเล็กๆตรงสะดือเพื่อส่องกล้องเข้าไปดูอวัยวะข้างในช่องท้องเพื่อตัดเอาเฉพาะซีสต์ออกมา ข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้คือ ยังสามารถมีลูกได้อีก แต่ข้อเสียคือสามารถกลับมาเป็นอีกได้อีกเพราะยังมีประจำเดือนอยู่
คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดเปิดหน้าท้องแต่จะตัดเอาเฉพาะก้อนซีสต์ออกเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหมอแนะนำให้ผ่าวิธีนี้ ในเมื่อผ่าตัดวิธีแบบส่องกล้องทำให้เจ็บแผลน้อยกว่าและแผลเล็กกว่าด้วย แต่ฉันไม่ได้ตกลงผ่าตัดที่โรงพยาบาลนี้เพราะว่า ค่ารักษาแพงมากๆ คุณรู้มั๊ยคะว่า คุณหมอบอกว่าเท่าไหร่ "หนึ่งแสนบาทต้นๆคะ" ถ้าฉันตกลงคุณหมอจะผ่าตัดให้เร็วที่สุดเท่าที่ฉันต้องการ แต่ฉันยังไม่ตอบตกลง ขอกลับไปคิดที่บ้านก่อน ตอนนั้นเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วคะ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยงคืน
แน่นอนคะ ฉันมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ถึงแม้จะเหนื่อยมาทั้งวัน ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืน เช้ามาคุณแม่ฉันโทรหาถามว่าทำไมไม่โทรหาท่าน ทุกครั้งที่กลับเมืองไทยฉันต้องโทรหาท่าน ฉันถือสายฟัง นิ่งแล้วก็ร้องไห้โฮออกมา เล่าให้ท่านฟัง คุณแม่ปลอบใจฉันและให้ฉันกลับบ้านด่วน ถ้าต้องผ่าตัดก็กลับไปผ่าตัดที่บ้านเพราะจะได้มีคนดูแลและอยู่ใกล้พี่ใกล้น้อง หลังจากที่สามีสัมมนาเสร็จ เราก็เดินทางกลับไปภาคใต้กันจากสนามบินหาดใหญ่ตรงไปโรงพยาบาลเลยคะเป็นเวลา 4 โมงเย็นทางโรงพยาบาลได้ปิดทำการแล้ว ถ้าต้องการพบคุณหมอนอกเวลาต้องรอ
ถึง 5 โมงเย็นคะ ฉันตกลงรอคะโชคดีที่ฉันเป็นคนแรกที่หมอเรียกพบ แต่คราวนี้เป็นหมอผู้ชายคะ " ฉันจะมัวอายอยู่ไม่ได้ ชีวิตของฉัน" (ได้แต่คิดในใจ) ฉันแสดงผลการตรวจของหมอทั้งสองโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯให้คุณหมอดู คุณหมอถามว่าพร้อมจะผ่าตัดวันไหน วันที่ 5 พฤษภาคม 2552 คะ วันที่ 5 เป็นวันที่ฉันต้องขึ้นเขียงคะ คุณหมอแนะนำให้ผ่าแบบส่องกล้อง จะเป็นแผลเล็กๆ ที่สะดือ อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น และอีก 2 แผลเล็กๆ ที่ท้องน้อย ซึ่งใช้ดูดซีสต์ออกมา คุณหมอยังแนะนำอีกว่าหลังผ่าตัดฉันสามารถมีลูกก็ได้เลย จะเป็นการดีกับตัวฉันมาก โรคนี้ก็จะหายไปเอง
เช้าวันของวันที่ 5 มาถึง ฉันรู้สึกเศร้าและกลัวมากคะ ทุกๆ คนรอบข้างตัวฉัน คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว น้องชาย หลานๆ พี่เขย น้องสะไภ้ รวมทั้งสามีที่น่ารักของฉัน ทุกคนเป็นกำลังใจให้ฉันเป็นอย่างดี แต่ก็อดคิดมากไม่ได้ ฉันต้องเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด โดยมีคุณพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อถึงเวลาประมาณ 11 .00 น.ฉันก็ถูกย้ายเข้าห้องผ่าตัด ทุกคนเดินตามมาส่งฉันที่หน้าห้องผ่าตัด ฉันถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดฉันไม่ร้องไห้เลย ตลอดเวลาที่พยาบาลเข็นเข้าห้องผ่าตัด แต่ระหว่างที่รอนั้นฉันหันมองผ่านออกไปผ่านประตูกระจกใส ฉันเห็นคุณสามีและพี่สาวยังคงมองมายังเตียงที่ฉันนอนอยู่ ฉันยิ้มให้พวกเขา แต่พวกเขาคงไม่เห็นฉันยิ้มทั้งนํ้าตา คุณแม่ฉันคงแอบไปร้องไห้ ในระหว่างรอฉันคิดถึงคำของสามีบอกฉันว่าฉันจะไม่รู้สึกเจ็บ จะไม่รู้สึกตัวและไม่ต้องกลัวนะที่รัก จริงๆคะ ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่คุณหมอเรียกชื่อฉัน และบอกว่าฉันได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนั้น ฉันยังรู้สึกสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาสลบ คุณพยาบาลย้ายเตียงฉันออกมา ฉันจำได้ว่าฉันเปลี่ยนผ้าผืนใหม่ก่อนที่คุณพยาบาลจะย้ายออกมาจากห้องผ่าตัด จากนั้นก็หลับตลอดคืนมาตื่นอีกทีก็ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง
ฉันเปิดเสื้อดูแผลของตัวเองเห็นแต่ผ้าก๊อตปิดเอาไว้สามแผล ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่เวลาฉันเคลื่อนไหวมันจะตึงและเจ็บที่แผลที่สะดือนิดเดียวเอง ฉันนอนพักที่โรงพยาบาล 2 คืน แล้วกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านอีก 2 อาทิตย์ คุณหมอนัดเปิดแผล เชื่อไหมคะแผลเล็กมาก แทบมองไม่น่าเชื่อ หลังจากพักฟื้นต่อที่อีก 2 อาทิตย์ ฉันก็เดินทางกลับประเทศสิงคโปร์ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากและสามารถว่ายนํ้า เล่นแบดมินตันและออกกำลังกายอื่นๆได้ตามปกติแล้ว
ความทุกข์และความกังวลที่ฉันได้ประสบมาเหมือนฝันร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ฉันหวังว่า คุณผู้อ่านที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คงจะหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ไปตรวจร่างกายประจำปี ฉันเป็นคนหนึ่งที่ต้องตรวจร่างกายทุกๆ 6 เดือน เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายก็ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุได้ทันท่วงที ฉันหวังอย่างยิ่งว่าพี่น้องชาวไทยทั้งในสิงคโปร์และเมืองไทยจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดไปทุกท่านนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น