Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าของเด็กบ้านนอก


โดย สิงห์ ราชาหงษ์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งในจำนวนคนไทยหลายหมื่นคนที่เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ผมมีชื่อเล่นว่า" สิงห์" ชื่อจริงผมก็ "สิงห์" อีกละครับ เพิ่มนามสกุลเข้าไปอีกนิดคือ "สิงห์ ราชาหงษ์" ผมโดนเพื่อนๆ ล้อเป็นประจำเมื่อถูกถามถึงชื่อเล่นและชื่อจริง เพราะเพื่อนผมแต่คนคนจะมีชื่อเล่นชื่อหนึ่งชื่อจริงอีกชื่อหนึ่ง อย่างเช่น เพื่อนคนที่มีชื่อเล่นว่า "หาญ" หรือ “ไอ้หาญ” ชื่อจริงของมันคือ "อุทิศ" อีกคนชื่อ "เล่" ชื่อจริง "สมควร" ไปซะงั้น ส่วนผม "สิงห์" ยังไงก็ "สิงห์" ดังนั้น ผมก็ได้แต่บอกเพื่อนๆ ว่า “ถึง[ชื่อจะ] สั้น แต่ก็เร้าใจโว้ย...” บางครั้งเวลาผมเซ็นชื่อกับเจ้าหน้าที่ พี่ผู้หญิงเขาจะถามผมว่า “ชื่อจริงชื่อ สิงห์ ชื่อเล่นล่ะชื่ออะไร” ผมก็จะบอกว่าชื่อ "สิงห์เหมือนเดิมครับ” เขาก็จะพูดอีกว่า "ชื่อจริงกับชื่อเล่นสั้นๆ เนาะ" ผมได้ทีก็จะบอกไปว่า "สั้นๆแต่ก็เร้าใจครับ" ทีนี้แหละหน้าแดงกันใหญ่เลย ไม่รู้ว่าแดงเพราะโมโหผมหรือว่าอายกันแน่ที่ผมพูดทะลึ่ง

เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ผมคุยสนุกพูดคุยด้วยแล้วสบายใจ แต่จริงๆแล้วเพื่อนๆไม่รู้หรอกว่าชีวิตจริงของผมนั้น เศร้าแค่ไหน ผมเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่ (พ่อกับแม่ผมเขาแยกกันอยู่ครับ) ผมอยู่กับตาและยายมาตั้งแต่เด็กๆ มีลุงป้าน้าอาช่วยกันเลี้ยงดูผมมา จนผมเรียกพวกเขาว่า "พ่อ-แม่" ทุกวันนี้ สิงที่ผมทำได้เมื่อผมโตขึ้นคือเข้ากรุงเทพฯ แล้วทำงานส่งเงินไปให้ท่านใช้ ผมเรียนจบแค่ชั้น ป 6 ทำได้แค่เป็นเด็กก่อสร้าง เด็กโรงงานบ้างเป็นอย่างนี้มาตลอด จนผมมีโอกาสได้มาทำงานในสิงคโปร์

วันแรกที่ผมมาถึงสิงคโปร์ ผมตื่นตาตื่นใจกับประเทศนี้มาก สิงคโปร์เป็นเมืองที่สวย สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้คนก็ผิวขาวจนเผลอคิดไปว่า มาทำงานในสิงคโปร์สักปีหรือสองปีคงได้ความขาวกลับไปอวดคนทางบ้านละ...แต่เอาเข้าจริงๆ ผมไม่ขาวขึ้นเลย แฮะ แฮะ... ผิวผมยังไงก็ยังงั้น 10 กว่าปีที่ทำงานอยู่ที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม
เผลอๆ ผมว่าดำกว่าเก่าเสียอีก กลับไปเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง พี่น้องเขาก็ถามว่าไปทำงานที่สิงคโปร์ทำไมไม่ขาว ผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ก็ได้แต่ตอบไปว่า "ก็คนมันดำน้อ" พอเรียกเสียงหัวเราะได้บ้าง

สิ่งที่ทำให้ผมแปลกตาและตาตื่นมากกว่าเดิมก็คือ (ขอโทษนะครับที่ผมใช้คำว่า ตาตื่น เพราะมันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ) พอเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ต้องไปส่งเงินกลับบ้านและร้านส่งเงินอยู่ไกลมาก สถานที่แห่งนั้น
เรียกว่า "โกลเด้นไมยล์" ซึ่งเป็นศูนย์รวมของคนไทยก็ว่าได้ ตอนไปก็นั่งรถเมล์แล้วต่อรถไฟฟ้ากว่าจะถึงจุดหมายก็สองชั่วโมงกว่าๆ เรื่องที่ทำให้ตาตื่นเรื่องแรกก็คือ รถเมล์สองชั้น (ตอนนั้นที่เมืองไทยเรายังไม่มี) ยิ่งเป็นเด็กบ้านนอกอย่างพวกผมแล้วยิ่งดีใจที่ได้ขึ้นรถเมล์สองชั้น พากันวิ่งขึ้นไปนั่งที่ชั้นสองกันหมดเลยและนั่งหน้าสุดอีกต่างหาก เพื่อจะได้ชมวิวทิวทัศน์สวยๆ พอนั่งมาเพลินๆ ก็มาสะดุดเอาดื้อๆ ตอนรถเมล์เข้าโค้งนี่ล่ะ... ก็ลองคิดดูสิครับรถเมล์สองชั้นเวลาเข้าโค้งแต่ละทีเหมือนจะพลิกควํ่าเสียให้ได้ หัวใจผมงี้วิ่งไปอยู่ตาตุ่มหมด ความสนุกหายไปไหนก็ไม่รู้ กว่าจะเคยชินกับการเข้าโค้งของรถเมล์สองชั้นก็พากันนั่งลุ้นอยู่หลายโค้งเหมือนกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ "ตาตื่นและตื่นตา" ก็มาถึง หลังจากตื่นตามาจากรถเมล์ พอเปลี่ยนรถเมล์ก็มาต่อรถไฟครับ ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยกันขึ้นรถไฟกัน มีเด็กบ้าง คนแก่บ้าง คนหนุ่มสาวบ้าง แต่ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจก็เห็นจะเป็นหนุ่มๆสาวๆนี่แหละครับ อายุก็ประมาณ 17 - 18 ปี เห็นจะได้ คุณรู้ไหมว่าหนุ่มสาวเขาทำอะไรกันครับ ผมนี่รับไม่ได้เลยจนต้องนั่งหันข้างให้ ( ป.ล.หันหลังให้ก็ไม่เห็นสิครับ เดี๋ยวมองไม่เห็น ฮ่าๆ) ถึงยังไงก็อดที่จะชำเลืองมองไม่ได้ เคยได้ยินแต่ว่า ที่เมืองนอกเมืองฝรั่งเขาทำกัน ก็เพิ่งจะมาเห็นที่นี้ละครับและในเอเชียเรานี่เอง บ้านเราไม่มีนะสมัยก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กบ้านเราจะเป็นยังไงบ้าง ส่วนตัวผมแล้วไม่อยากให้เด็กบ้านเราเป็นอย่างนี้หรอกครับ มันเกินไปที่มากอดจูบกันให้คนอื่นเห็น ถ้าใครเห็นก็ช่วยตักเตือนเด็กๆ เหล่านั้นบ้างก็ดี น่าจะช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้ได้บ้าง
วกมาเรื่องเข้าเรื่องดีกว่า ในฐานะปุถุชนคนธรรดาแถมยังหนุ่มแน่นพอได้มาเห็นคนหนุ่มสาวควงแขนกันไปไหนมาไหนกัน ก็อยากจะมีแฟนกับเขาบ้าง แต่ก็หาไม่ได้สักที ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแบกอิฐแบกปูน บางวันก็หามเหล็กทั้งวัน แดดก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย กว่าจะผ่านมาได้แต่ละวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด ผมโชคดีที่มาอยู่นี้เป็นหนุ่มโสด ทำงานส่งเงินกลับบ้านมากบ้างน้อยบ้างเป็นอย่างนี้ประจำ แต่สำหรับคนมีลูกมีเมียนี่สิครับ...น่าสงสารมาก บางคนมีภาระใช้จ่ายมาก จะกินอะไรหวานๆ จะซื้อผลไม้ก็ไม่กล้าซื้อ ทำงานมาเหนื่อยก็ต้องกินแต่ข้าว แล้วก็
เข้านอนเพราะต้องอดออมส่งเงินไปให้ครอบครัว บางคนส่งบ้างเที่ยวบ้างเป็นธรรมดา

แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่เงินกลับบ้านทุกเดือน เพื่อที่จะให้ลูกเมียอยู่ที่บ้านได้อยู่ดีกินดี แต่บังเอิญว่าเมียอยู่ดีกินดีเกินไป คิดว่าสามีส่งเงินมาให้เยอะ อยู่สิงคโปร์คงทำงานดี การกินอยู่คงจะสบาย ส่งเงินกลับบ้านทีเป็นหมื่นสองหมื่นประจำ พอคิดอย่างนี้ก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ที่น่าสงสารมากจนไม่รู้จะพูดยังไงดีก็คือกรณีของน้าคนหนึ่ง แกทำงานอยู่บริษัทเดียวกับผม แกดื่มเหล้า ปกติแกไม่ค่อยชอบดื่ม จะดื่มบ้างนิดหน่อยก็ตอนเงินออกแล้วก็เข้านอน แต่วันนั้นน้าแกเมามากครับและมาระบายกับผมว่า เมียแกมีชู้ พูดไปร้องไห้ไป ผมสงสารน้าแกมาก อดที่จะนํ้าตาซึมไปกับน้าแกไม่ได้ น้าแกส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน บ้านก็สร้างเสร็จแล้ว แกเคยเอารูปมาให้ดูด้วยครับ แกมีความสุขมากช่วงนั้น แต่อยู่ๆ เมียแกก็มีชู้ไปกับชายอื่น โดยไม่คิดบ้างว่าเคยลำบากเคยทุกข์มาด้วยกัน กี่ปีที่อยู่กันมาและมีลูกด้วยกัน รักและห่วงใยกันแค่ไหน ทำไมถึงลืมไปได้ก็ไม่รู้...คิดดูเอาเองนะครับ...ว่าคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อลูกเมีย แต่...สุดท้ายรางวัลที่ได้รับมันคือการทรยศ....มันสมควรแล้วหรือ... บ้านที่แกสร้างด้วยนํ้าพักนํ้าแรงก็สร้างบนที่ดินของเมียแก เงินที่ส่งไปก็โอนเข้าบัญชีธนาคารของเมีย สุดท้ายแกไม่เหลืออะไรเลย ลูกชายแกบวชบอกว่าจะไม่สึก ส่วนลูกสาวอยู่กับแม่เพราะว่ายังเล็กอยู่ น้าแกกลับบ้านไปนานแล้วครับ ทราบข่าวว่าน้ากลับไปบ้านเดิมที่จังหวัดเลย ส่วนบ้านเมียอยู่หนองคาย ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าแกเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ข่าวอีกเลยครับ
ผมทำงานอยู่สิงคโปร์ 10 กว่าปี ไม่ใช่น้าคนนั้นคนเดียวที่ผมรับรู้ ยังมีอีกหลายคนที่เกิดเหตุในทำนองนี้ ผมเล่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ เพราะว่าผมอยากให้ลูกเมียใครก็ตามที่สามีมาทำงานในต่างประเทศ ได้รับรู้ว่าคนมาทำงานไม่ใช่มาทำงานสบาย แต่ละวันกว่ามันจะผ่านไปได้มันเหนื่อยแค่ไหน วันไหนทำงานเหนื่อยมาทั้งวันอยากพักผ่อนมาก แต่หัวหน้าบอกว่าให้ทำโอทีต่อก็ต้องจำใจทำครับ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องทำโอทีก็เพราะว่าอยากได้เงินเพิ่ม อยากส่งเงินกลับบ้านเยอะๆ งานเลิกกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว พอตอนเช้าก็ต้องตื่นทำกับข้าวตั้งแต่ตีห้า เป็นอย่างนี้ทุกวันสำหรับชีวิตคนขายแรง...
ผมเป็นหนึ่งในจำนวนหลายๆ คนที่ต้องมีชีวิตเป็นอยู่อย่างนี้ เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมได้สอนให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักคิด รู้จักทำมากขึ้น โชคดีที่สิงคโปร์มีหน่วยงานที่สอนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผมเลยสมัครเรียนจนจบ ม. 3 แล้วต่อ ม. 6 พอจบแล้วผมก็สมัครเรียนต่อ มสธ. นี่ก็จะเข้าปีสามแล้วครับ ไม่รู้จะจบหรือเปล่าแต่จะพยายามเอาครับ ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับการทำงาน การเรียน และทำกิจกรรม จนทำให้เวลาผ่านไปเร็วมากในแต่ละปี เผลอแป๊บเดียว อายุผมปาเข้าไป 30 ปีแล้ว บางครั้งตอนกลับเมืองไทย เพื่อนๆ ถามว่าพาเมียมาด้วยหรือเปล่า คำตอบคือยังหาไม่เจอเลย พวกมันก็ว่าอายุมากแล้วนะ ทำไมไม่รีบหา ก็อยากได้นะครับแต่มี
แฟนทีไรอกหักทุกที กลับบ้านทีไรแม่ก็บ่นว่าทำไมไม่หาลูกสะใภ้มาฝากแม่บ้าง ก็ได้แต่บอกแม่ไปว่า "ความหล่อยังมาไม่ถึงนะแม่" "เอาไว้ความหล่อมาถึงเมื่อไรจะเอาลูกสะไภ้มาฝาก"
พูดถึงความหล่อนี่ก็แปลก อยู่สิงคโปร์... ความหล่อนี่น่ากลัวมากครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมรู้สึกว่า ตัวเองหล่อขึ้นกว่าเดิมเยอะ เพราะผมเริ่มมีแฟน คบกันก็รักกันดีอยู่ แต่มารู้ตัวอีกทีอกหักซะแล้ว เลยต้องทำใจอยู่ 2 ปีครับ ความหล่อก็กลับคืนมาอีก คราวนี้เกือบจะได้หล่อตลอดกาลซะแล้ว แต่ความฝันก็มาสะดุด เพราะว่าอกหักอีกตามเคย จนไม่กล้าจะรักกับใครอีกแล้วตอนนี้ เพราะเท่าที่สังเกตดูช่วงที่ผมหล่อผมไม่มีเงินเหลือเก็บเลย... ไม่เหมือนตอนที่ผมไม่หล่อผมยังพอมีเงินเก็บบ้าง ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยว่า ผมหล่อเพราะหน้าตาหรือว่าเพราะเงินในกระเป๋ากันแน่ แต่ก่อนผมเคยอิจฉาเพื่อนๆ ที่เขามีแฟนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกเฉยๆ แล้ว ขอทำงานและจะพยายามเก็บเงินเก็บทอง พอเรียนจบแล้วกลับบ้านเราดีกว่า ส่วนเรื่องลูกสะไภ้ของแม่ ขอฝากไว้กับโชคชะตาของวันข้างหน้าดีกว่า

แต่ถ้าจะให้ฝัน...โอ่...เรื่องความฝันนี้ ผมคิดฝันไว้เยอะครับ เช่น อยากได้ลูกสะใภ้สิงคโปร์ไปฝากแม่ที่บ้านคงโก้พิลึก จะได้ลดการขาดดุลที่เราต้องเสียให้เขาไปตลอด เพราะผู้หญิงไทยแต่งงานกับผู้ชายสิงคโปร์เยอะมาก ขาดดุลการค้าบานเลย... ผมอยากให้ผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับคนสิงคโปร์พาครอบครัวไปอยู่เมืองไทยบ้างก็คงดี เพราะส่วนมากผู้หญิงบ้านเราเป็นคนเหนือ คนอีสาน ทำงานที่นี้แล้วเก็บเงินไปซื้อที่ซื้อทางที่บ้านเรา นำทัรพยากรที่มีคุณภาพของเมืองนี้ไปพัฒนาบ้านเราก็คงจะดีไม่น้อย เพราะเขาพูดได้หลายภาษา ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ ถ้าไปเปิดคอร์สสอนเด็กๆ ตามบ้านนอก พวกเราคงจะมีความรู้ความสามารถขึ้นเยอะไม่แน่นะเมื่อเด็กๆโตขึ้นมาอาจจะนำความรู้มาพัฒนาบ้านเราโดยไม่ต้องพึ่ง ส.ส หรือรัฐบาล วันหนึ่งข้างหน้าใครบางคนอาจจะมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติที่เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร สามารถติดต่อซื้อขายกับเกษตรกรบ้านเราได้โดยตรง เศรษฐกิจบ้านเรา "คงไปโลด"
เฮ้อ... ก็อย่างว่าละครับ ความฝันก็คือความฝันจะให้เป็นจริงก็คงยาก แต่ลึกๆ ในใจของผมแล้วก็อยากให้ใครสักคนลองทำดูเป็นคนที่หนึ่งก่อน แล้วต่อมาอาจจะมีคนที่สอง สามตามมาเรื่อยๆ ถ้าคนไหนได้อ่านเรื่องนี้และแฟนเป็นคนต่างชาติแล้วจะก็นำความรู้ความสามารถของตัวเองและคนข้างๆ ไปพัฒนาความรู้ความสามารถให้เด็กบ้านนอกของเราพูดภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ได้เก่งขึ้น คงจะเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อย....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น