Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตจริงของแรงงานไทยในต่างแดนที่ประสบความสำเร็จ


โดย ก. แก้ววิเศษ

ข้าพเจ้าจำได้ว่า เป็นเดือนลอยกระทงปลายปี 2541 ที่ข้าพเจ้าได้เดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะต่อเครื่องบินมาทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ ทางเอเย่นต์จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย เป็นสายการบินคาเธ่ย์แปชิฟิก พอเครื่องแตะรันเวย์ก็รู้สึกว่า โอ... สิงคโปร์ช่างเป็นดินแดนที่สวยงามจริงเชียว มองไปทางไหนก็ขจีเขียวไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ตึกรามบ้านช่องสวยงามสะอาดตามาก เป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ได้มาสิงคโปร์เพื่อขุดทองหาเงินไปจุนเจือครอบครัว ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมาก บอกตัวเองว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหารการกิน เรียนรู้งาน และระบบการบริหารงาน ข้าพเจ้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถ ค่าแรงครั้งแรกได้วันละ 32 เหรียญสิงคโปร์ ค่าโอทีชั่วโมงละ 4.80 เหรียญ รวมแล้วจะได้เดือนละ1,000 – 1,200 เหรียญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นรายได้ที่พอสมควร ถ้าเรารู้จักประหยัดกินประหยัดใช้ ทางบริษัทก็ดูแลคนงานดีมาก
ข้าพเจ้าทำงานเกี่ยวกับการสำรวจท่อนํ้าใต้ดินและทำความสะอาดท่อน้ำด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก ตัวเซ็นเซอร์ก็จะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ที่หัวรถเล็กๆ สามารถหมุนได้รอบทิศทาง มีสายเคเบิลติดตามเข้าไปในท่อ
ส่วนด้านบนจะมีจอมอร์นิเตอร์อยู่บนรถ พนักงานสามารถบังคับกล้องให้เดินไปสำรวจจุดที่ชำรุดแล้วก็บันทึก
วีดีโอเทปส่งให้รัฐบาลตรวจสอบดูว่าควรจะซ่อมหรือบำรุงรักษาอย่างไร
ต่อมาทางบริษัทมีปัญหาเรื่องงาน บริษัทต่อสัญญาให้กับคนงานชุดของข้าพเจ้าไม่ได้ ทางบริษัทต้อง
ส่งคนงานทั้งชุดกลับบ้านก่อน ให้ไปรอที่บ้านจนกว่าทางบริษัทจะเรียกตัวกลับมาทำงานอีกครั้ง ในที่สุดข้าพเจ้าได้
กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทางบริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง หลังจากเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วัน ทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้ออกกฎหมายใหม่ให้คนงานที่ยังไม่ได้ไม่มีใบอนุญาตที่สอบผ่านศูนย์
ทดสอบฝีมือแรงงานมาต้องไปสอบใหม่ที่สิงคโปร์อีกครั้ง ข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในจำนวนเพื่อนร่วมงานทั้งหมด 21 คนที่ไปทดสอบด้วยกัน ด้วยความถนัดด้านการช่างก็เลยโชคดีสอบรอบเดียวผ่านเลย ผมได้ใบอนุญาตทำงานตามกฏหมายของสิงคโปร์ ด้วยความอุตสาหะมานะอดทนของข้าพเจ้าทำให้โฟร์แมนรักและเห็นใจไว้ใจในการทำงาน ทางบริษัทเลยขึ้นค่าแรงให้เป็น 35 เหรียญต่อวัน ทำงานได้ 8เดือนผมก็ประสบอุบัติเหตุ เส้นเอ็นขาด้านซ้ายฉีก ทำงานหนักไม่ได้อยู่หลายอาทิตย์ ทางหัวหน้าเลยให้ข้าพเจ้าทำงานเบาๆ อยู่ในออฟฟิศคือ งานทั่วไป เช่น ดูแลรถ รับรถ เช็ครถ ด้วยความถนัดทางด้านการซ่อมรถเชื่อมเหล็กมาก่อนก็เลยเอาวิชาเก่าที่ติดตัวมาจากเมืองไทยมาใช้ พอผู้จัดการใหญ่มาเห็นก็ชอบใจ ไม่ต้องไปจ้างช่างข้างนอกมาทำ เลยมอบหมายงานซ่อมให้ข้าพเจ้าเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นข้าพเจ้าพอพูดภาษาจีนกลางได้บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง พอสื่อสารกันรู้เรื่อง ทางบริษัทก็ส่งข้าพเจ้าไปเรียนภาษา ข้าพเจ้าเรียนอาทิตย์ละ 3 วัน ตั้งแต่เวลา 19.00 น ถึง 22.30 น. จนจบคอร์ส หลังจากนั้นบริษัทย้ายเลยไม่ได้เรียนต่อ

จนกระทั่งมีโอกาสมาเรียนภาษาอังกฤษที่ กศน. ได้ 1 คอร์ส คอมพิวเตอร์อีก 2 คอร์ส หลังจากนั้นไม่มีเวลาเรียนต้องทำงานทุกวัน งานก็เลิกดึก วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องทำงานไม่มีเวลา ด้วยความจำเป็นต้องงดเรียน แต่ก็ฝันไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะเรียนต่อเพื่อที่จะอัพเกรดตัวเอง ถ้าทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมก็อยากเข้าร่วมกิจกรรม อสร.และ มสธ. ด้วย นี่เป็นความฝันของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยก็ต้องพยายามเพื่ออนาคตข้างหน้า
หลังจากนั้นชีวิตการทำงานก็แปรผันไป จากงานที่กำลังจะรุ่งโรจน์ทางบริษัทต้องขายกิจการให้กับอีก
บริษัทหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องย้ายไปทำงานกับบริษัทใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ต้องมาเริ่มต้นที่ศูนย์กันใหม่ บริษัทนี้ทำงานเกี่ยวกับวิจัยนํ้า และบำบัดนํ้าเสียตามโครงการของรัฐบาลสิงคโปร์ ทดลองและวิจัยแบบล้มลุกคลุกคลาน ได้บ้างไม่ได้บ้างยังไม่สำเร็จเลยทีเดียว ข้าพเจ้าก็ต้องทน ส่วนค่าแรงนั้นก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ที่ 25 เหรียญต่อวัน เงินโอทีก็ไม่มี เดือนหนึ่งต้องจ่ายมากกว่าที่ส่งทางบ้าน บ้างเดือนได้เงินสุทธิที่ 800 - 900 เหรียญ ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด เหนื่อยก็ต้องทน ข้าพเจ้าทนอยู่มาได้ 4 - 5 ปี ทางบริษัทก็เริ่มผลิต วิจัย ทดลองทำไฟเบอร์สำหรับกรองนํ้าเอง ผลิตเองจนถึงติดตั้งตามสถานที่ราชการและสถานที่ก่อสร้างทั่วไป ตลอดจนส่งให้ลูกค้าต่างประเทศได้ตามมาตรฐานค่าของนํ้าที่สะอาด ตอนนั้นข้าพเจ้าก็เป็นแค่คนงานทั่วไป ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย ยิ่งคนงานต่างชาติที่อยู่ร่วมกันดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานาว่าคนไทยพูด เขียน อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ พูดจากับเพื่อนร่วมงานก็ไม่รู้เรื่อง จนทำให้ข้าพเจ้ามีความคิดที่อยากจะเรียนเพิ่มเติม ต้องหาเวลาไปเรียนที่ กศน. เรียนจนพอที่จะพูดได้และเรียนคอมพิวเตอร์ต่ออีก 2 คอร์ส จนสามารถใช้งานได้พอสมควร ทำให้ความสัมพันธ์ของข้าพเจ้ากับเพื่อนร่วมงานดีขึ้นมาก นายจ้างก็เมตตา

อยู่มาวันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชื่อ เกริกชัยได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยโรคหลับไม่ตื่น หรือที่เรารู้จักกันในนามโรคไหลตายหรือโรคหัวใจล้มเหลว ปกติ เกริกชัยเป็นคนไม่ดื่มสุราไม่สูบบุหรี่ ชอบเล่นดนตรี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มาก อายุเพียง 45 ปีเท่านั้น ก่อนเสียชีวิตเขาได้พูดเป็นลางไว้ว่า
" เอ้อ! เราทำงานมาก็มากแล้ว อยากจะพักนานๆหน่อยดีไหมว่ะ" ข้าพเจ้าและเกริกชัยนอนห้องเดียวกันกับหลานของเกริกชัยอีกคนหนึ่ง พอหกโมงเช้า ข้าพเจ้าลุกไปอาบนํ้าแต่งตัวไปทำงานตามปกติ หลังข้าพเจ้าอาบนํ้าเสร็จหลานเกริกชัยก็อาบต่อจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เปิดไฟที่หัวเตียงและแปลกใจว่าวันนี้ทำไมเกริกชัยนอนตื่นสายก็เลยเปิดไฟเพดานเพื่อปลุกเกริกชัย ปรากฏว่าเกริกชัยยังหลับอยู่ ข้าพเจ้ายังไม่เรียก พอหลานชายเกริกชัยอาบนํ้าเสร็จก็มาปลุกเกริกชัย "น้าๆ ตื่นๆ" ข้าพเจ้าเลยล้อเล่นว่าสงสัยวันนี้คงอยากพักผ่อนมั้ง แต่มานึกอีกทีว่า วันนั้นแกพูดจาชอบกลเลยไปเขย่าตัวแก พอจับตัวแกอีกทีก็เย็นเป็นนํ้าแข็งแล้ว ช่วยกันปั้มหัวใจก็สายไปเสียแล้ว ไม่ทราบว่าเสียชีวิตไปกี่ชั่วโมงแล้ว หลังจากนั้นได้โทรศัพท์ให้ผู้จัดการมาดู ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพิสูจน์ศพ ข้าพเจ้าและหลานชายของเกริกชัยให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ทั้งหมด หลังจากเหตการณ์นั้นจบลงข้าพเจ้าเลยขอย้ายห้องนอนใหม่ ทางผู้จัดการก็จัดการให้ตามที่ข้าพเจ้าขอไป

ชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าก็เหมือนคนงานทั่วไป ตื่น 6 โมงเช้า ต้องทำกับข้าวเอง เริ่มงานเวลา 8.30 น. เลิกงาน 17 .30 น ถ้ามีโอทีก็ทำตั้งแต่ 20.30 ถึง 22.00 น. เดือนหนึ่งก็ได้เวินประมาณ 1200 ถึง 1400 เหรียญ ต่อมาทางบริษัทได้ปรับค่าแรงเป็นรายเดือนให้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นสมัครใบอนุญาตทำงานประเภท S-Pass จะต้องมีใบประกาศนียบัตรช่าง ข้าพเจ้าก็ให้ทางบ้านส่งใบประกาศช่างไฟฟ้ามาให้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อมาประกอบกับใบสุทธิที่เรียนมาาทั้งหมด เพื่อนำมาเป็นหลักฐานประกอบใบสมัครขอ S-Pass เมื่อเอกสารพร้อม ทางบริษัทเซนต์รับรองประวัติการทำงานให้ ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากผู้จัดการใหญ่เซนต์รับรองให้ หลังจากส่งใบสมัครไปที่ MOM ได้ประมาณ 2 เดือนเศษ ทาง MOM ได้มีจดหมายให้ไปทำ S-Pass ข้าพเจ้าดีใจจนบอกไม่ถูก

หลังจากที่ได้ S-Pass แล้วทางบริษัทก็ปรับเงินเดือนให้เป็น 1800 เหรียญไม่มีโอที เป็นความภูมิใจของข้าพเจ้าเพราะด้วยความขยัน หนักเอาเบาสู้ของข้าพเจ้าแท้ๆ ข้าพเจ้าได้สร้างความประทับใจเรื่องการทำงานในสิงคโปร์มาก ข้าพเจ้าได้ตำแหน่งช่างในบริษัท แต่ข้าพเจ้าทำทุกอย่างแม้แต่กวาดขยะ เพื่อนร่วมงานก็รักข้าพเจ้าทุกคน ข้าพเจ้าให้ความเป็นกันเองกับทุกคน
ส่วนมุมมองที่มีต่อประเทศสิงคโปร์ ข้าพเจ้าคิดว่า คนที่นี้ทั่วไปยังมองคนงานไทยตํ่า ในความรู้สึกส่วนตัวนะครับ หรือว่าข้าพเจ้ายังเข้าไม่ถึง เช่น ผู้หญิงสิงคโปร์ พอรู้ว่าเป็นคนงาานไทย เขาจะไม่มองหน้าหรือสบตาเลย บางคนเดินไปปิดจมูกไปด้วยซ้ำ ไม่ทราบเหม็นอะไรทำนองนั้น ถ้าเป็นผู้ชายคนสิงคโปร์ก็พูดจาดูถูก แต่ข้าพเจ้าไม่เคยประสบกับตัวเอง ปัจจุบันข้าพเจ้าพยายามแก้ภาพพจน์คนงานไทยได้มากพอสมควร โดยอธิบายความเป็นจริงให้เพื่อนคนสิงคโปร์ฟัง เขาก็เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องดื่มสุรา ทำไมต้องเที่ยวผู้หญิง ทำไมต้องผ่อนคลายด้วยวิธีนี้
ในส่วนของราชการไทยในสิงคโปร์นั้นก็ให้ความเป็นกันเองดีในการติดต่อราชการ เช่น ทำพาสปอร์ต การแปลเอกสารต่างๆ สะดวกแต่ใช้เวลานานเกินไป เช่นประทับตรา เซนต์ชื่อรับรองเอกสาร ถ้าเป็นไปได้ใช้เวลา 1 วันเสร็จก็จะดี เพราะแรงงานไทยมีเวลาน้อยมาก ลางานบ่อยก็มีปัญหากับนายจ้าง ภาพลักษณ์ส่วนรวมแล้วก็ดีครับ สำหรับภาพลักษณ์ของคนไทยในสิงคโปร์ในอดีตถึงปัจจุบันไม่ค่อยดีเท่าที่ควร รู้สึกว่ายังมีการแบ่งชนชั้นกันอยู่มากพอสมควร แต่ไม่เหมือนส่วนของ อสร . มสธ. หรือ กศน. จะมาพบปะพูดคุยกันให้ความช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กิจกรรมของสมาคมเพื่อนแรงงานไทยช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของคนไทยดีขึ้น อาจจะมีการพบปะกันมีผ้าป่าแรงงานบ้าง แข่งขันกีฬาบ้าง เช่น ฟุตบอล หรือเซปักตะกร้อ เป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในหมู่แรงงานไทยด้วยกัน

ในส่วนความประทับใจของข้าพเจ้า คือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ข้าพเจ้าภูมิใจในความสำเร็จของ

ตัวเอง จากคนขายแรงงานทั่วไปขยับตัวเองขึ้นมาได้ จากรายได้ต่อเดือนตํ่าสุดที่ 790 เหรียญหรือจากวันละ 25 เหรียญถึง 35 เหรียญ มาเป็นเงินเดือนประจำเดือนละ 1,800 บาทพร้อมใบอนุญาตทำงานแบบ S-Pass ข้าพเจ้าใช้ระยะเวลานานพอสมควร ตั้งแต่ปี 2541-2552 เป็นช่วงเวลาที่ต้องอดทนทำงานด้วยมานะ อุตสาหะ ประหยัด สู้ชีวิตเป็นเวลานานกว่า 10 ปี เพิ่งได้บัตร S-Pass ของสิงคโปร์เมื่อปี 2550 นี้เอง ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้พำนักอาศัยถาวร (Permanent Resident--PR) ของสิงคโปร์แล้ว ในบัตรอนุญาตทำงานในสิงคโปร์ของข้าพเจ้ามีตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่าง มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน

ปัจจุบันข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่คณะรัฐศาสตร์ มสธ. ร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนนักศึกษาด้วย เป็นรองประธาน นักศึกษา มสธ. ในสิงคโปร์ฝ่ายกิจกรรม และเป็นประธาน อสร. รุ่น 5 ข้าพเจ้าอยากจะแนะนำเเรงงานท่านอื่นๆ ให้หาความรู้จากการงานประจำ หาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ที่เปิดสอน เช่น ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ กศน. มสธ. แล้วนำใบประกาศหรือวุฒิบัตรมาประกอบการยื่นขออนุญาต S-Pass และ PR เป็นการยกระดับความเป็นอยู่ในต่างแดน เมื่อถึงเวลากลับมาตุภูมิ เราก็ยังมีความภาคภูมิใจว่า เราประสบความสำเร็จได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้
ในส่วนของครอบครัวทางบ้านก็ไม่มีปัญหาใดๆ ทุก ๆ 3 - 5 วัน ข้าพเจ้าจะโทรศัพท์คุยกับทางครอบครัว ถามไถ่ความเป็นมาของครอบครัว ส่วนกิจการทางบ้าน ข้าพเจ้ามีธุรกิจส่วนตัว คือปั้มนํ้ามันขนาดย่อยและขายของชำ รวมทั้งมีรถตู้วิ่งรับส่งนักเรียน ค่าตอบแทนก็พออยู่ได้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะอยากให้ภรรยาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ไม่ทำให้คิดมากเรื่องขาดความอุบอุ่นจากสามี ข้าพเจ้าเองก็กลับไปเยี่ยมบ้านปีละ 1- 2 ครั้ง ในแต่ละเดือนข้าพเจ้าจะส่งเงินกลับบ้านทุกเดือนไม่เคยขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการการันตีว่าข้าพเจ้าไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนันหรือเที่ยวผู้หญิง เป็นการสร้างความมั่นใจให้ครอบครัว ถ้าเดือนไหนขาดส่งโดยที่ไม่แจ้งเหตุผลล่วงหน้าก็จะทำให้มีปัญหาได้ ถ้าบ่อยเข้าก็จะเกิดความแตกแยกในครอบครัวตามมา หนักเข้าก็อาจจะถึงขั้นหย่าร้าง เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอว่าจะทำอะไรต้องคิดและตรึกตรองให้ดี คิดถึงครอบครัวให้มากครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น