Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ครึ่งหนึ่งของชีวิต


โดย อนา

ดิฉันเป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน พื้นเพครอบครัวของดิฉันอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งแถบภาคอีสาน พ่อของดิฉันเป็นคนเคร่งครัดในเรื่องระเบียบ มารยาทไทยและหัวดื้อมาก พ่อสอนเรื่องความเข็มแข็ง อดทน เด็ดเดี่ยวให้กับพวกเรา แม่จะเป็นคนที่มัธยัสถ์มาก ซื่อสัตย์และขี้สงสารคน ในวัยเด็กดิฉันไม่ค่อยจะสนิทหรือผูกพันกับพ่อแม่เท่าไร แต่จะผูกพันรักใคร่กับปู่ทวดมากกว่า เรียกว่าปู่ทวดกับดิฉันจะเป็นเงาของกันและกัน ปู่ทวดดิฉันท่านเป็นคนดี ไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร ทุกคนที่ได้พูดคุยกับท่านจะมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ปู่ทวดนั้นเป็นที่รวมของความหมายของคำว่า “ลูกผู้ชายตัวจริง” ในความคิดของดิฉัน ปู่ทวดจะสอนให้ดิฉันเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ เพราะความที่ฉันรักและเคารพปู่ทวดมาก ดิฉันได้นำเอาบุคลิก ท่าทาง และกิริยาของท่านมาเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง มันเลยทำให้บุคลิก ของดิฉันกระเดียดออกไปทางผู้ชาย พ่อของดิฉันท่านเป็นห่วงมาก เลยตัดสินใจส่งดิฉันให้ไปเรียนพุทธศาสนาทุกวันเสาร์อาทิตย์กับท่านพระครูที่วัดประจำตำบล ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ดิฉันสามารถเรียนจบได้ถึงนักธรรมเอก เมื่อปู่ตายดิฉันเสียใจมาก เสียดายที่ตัวเองไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชายไม่สามารถบวชให้กับปู่ได้ ดิฉันทำได้ดีที่สุดก็แค่บวชชีพราหมณ์ถือศีลกินเจ 7 วันทุกปี เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับปู่

ดิฉันเรียนจบชั้น ปวส. ที่อยุธยาแล้วได้เข้าทำงานกับบริษัททัวร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ การทำงานในบริษัททัวร์นี้ทำให้ดิฉันได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างมากขึ้น ได้รู้จักกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่มาจากประเทศในเขตอาหรับ เพราะเป็นเขตที่แผนกของดิฉันได้รับผิดชอบลูกค้าอาหรับอยู่ ทำให้ดิฉันมีเพื่อนคนอาหรับที่สนิทสนมและไปมาหาสู่กันเป็นประจำอยู่ 3 ครอบครัว พวกเขาเป็นคนดูไบ ฉันเคยพาเพื่อนอาหรับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วย ครอบครัวของดิฉันชอบพวกเขามากตรงที่พวกเขาไม่ดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่สูบบุหรี่ แถมยังใจดี บริจาคเงินให้กับสถานีอนามัยและโรงเรียนประถมที่หมู่บ้านของดิฉันด้วย

ดิฉันได้รู้จักกับสามีจากการแนะนำของเพื่อนอาหรับ ตอนนั้นสามีดิฉันเขาเป็นหัวหน้าช่างเทคนิคในบริษัทน้ำมันเขาชื่อคุณอัซมีร์ หน้าตาเขาเหมือนคนจีนทั่วไป ทำให้ดิฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนจีน-สิงคโปร์ ไม่น่าจะนับถือศาสนาอิสลาม อันนี้คือความคิดของดิฉันเอง ส่วนเขาก็คิดว่าดิฉันเป็นผู้หญิงประเภทสองที่แปลงเพศแล้ว (ตอนนั้นท่าทางของดิฉันเหมือนผู้ชายมาก) เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับดิฉันมากมาย ดิฉันเองก็ไม่ได้สนใจเขาเพราะเขาเป็นคนที่ดูเหมือนจะบอบบางเกินไปในสายตาดิฉัน ดิฉันชอบผู้ชายที่เข็มแข็งและเผชิญหน้ากับชีวิตได้ทุกสถานการณ์ แต่เราสนิทสนมกันเพราะเขาต้องมาทำงานที่เมืองไทยเป็นเวลา 2 เดือน ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น

หลังจากที่ดิฉันคบกับคุณอัซมีร์ได้ 4 ปี เขาก็ขอดิฉันแต่งงาน แต่ดิฉันบอกเขาว่ายังไม่พร้อมเพราะน้องชายยังเรียนอยู่ ดิฉันขอเวลาเขาอีก 1 ปีให้น้องชายดิฉันจบและทำงานเป็นวิศวกรก่อน เขาก็ตกลงตามใจดิฉัน เขาจะรอ หลังจากนั้นอีก 1 ปี คุณอัซมีร์ก็มาทวงสัญญา คราวนี้ดิฉันตอบตกลง แต่เขาก็ต้องทำให้ดิฉันทั้งตกใจและหนักใจ เมื่อเขาบอกว่าดิฉันต้องเปลี่ยนศาสนาก่อนถึงจะแต่งงานได้ ดิฉันแปลกใจมากนึกว่าเขานับถือศาสนาพุทธเหมือนตัวเอง ตลอดเวลา 5 ปีที่คบหาดูใจกันเราไม่เคยพูดเรื่องศาสนากันเลย ดิฉันบอกเขาว่าไม่แน่ใจ ขอเรียนรู้เกี่ยวกับอิสลามก่อนได้ไหม เพราะในใจกลัวจะไมได้บวชชีพราหมณ์ให้กับปู่เหมือนที่เคยทำทุกปี แต่คุณอัซมีร์ก็ไม่ได้บังคับดิฉัน เขาบอกว่าถ้าอยากเรียนรู้ศาสนาอิสลามต้องไปเรียนที่สิงคโปร์ เพราะหน่วยงานที่รับรองจดทะเบียนสมรสของสิงคโปร์ไม่ยอมรับผู้ที่เปลี่ยนศาสนามาจากประเทศอื่น

ดิฉันเรียนศาสนาอิสลามที่สิงคโปร์ 3 เดือนก็จบภาคทฤษฎี ตลอดเวลาที่เรียนในใจก็คัดค้านกับบางบทบางตอนของศาสนาอิสลามบ้าง แต่ทุกข้อคำถามก็หายไปเพราะครูสอนศาสนา (อิหม่าม) อธิบายทุกอย่างได้แจ่มแจ้งจนดิฉันหมดข้อสงสัย แต่ที่ไม่พอใจอย่างแรงก็ตอนที่อิหม่ามบอกว่าศาสนาพุทธกราบไหว้วัตถุ ศาลพระภูมิ เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ดิฉันทนไม่ได้ที่ใครจะมาว่าศาสนาตัวเองแบบนี้ ดิฉันแค่มาเรียนรู้ก่อนยังไม่ได้เปลี่ยนศาสนา อีกอย่างดิฉันก็ไม่ชอบที่เขาพูด เปรียบเทียบในเชิงเหยียดหยามคนอื่น ดิฉันก็เลยบอกเขาว่า ที่คนพุทธกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นเพราะมันเป็นความเชื่อ ทุกศาสนาต่างก็มีความเชื่อของตนเอง อิสลามยังเคารพต่อหินอุกบากศ์ที่เมืองเมกกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบียเลย อิหม่ามถามว่าดิฉันเป็นคนประเทศอะไร ดิฉันก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นคนไทย อิหม่ามขอโทษดิฉันและขอโทษชาวพุทธทุกคนด้วยที่พูดอะไรออกไปโดยขาดความเข้าใจที่ดี

พอเรียนจบทฤษฏี อิหม่ามก็ถามเราว่าพร้อมใจที่จะเปลี่ยนศาสนาหรือยัง แต่เขาก็ไม่ได้บังคับใดๆ ในใจดิฉันคิดแต่ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทุกชาติ ทุกศาสนาล้วนมีคนดีและคนเลวเหมือนกันหมด ดีหรือเลวอยู่ที่ตัวเราเองเป็นผู้เลือกกระทำ อันนี้จำได้ขึ้นใจเพราะเป็นคำสอนของปู่ทวด พอดิฉันพร้อมใจยอมรับที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาตั้งชื่อมุสลิมให้เราเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชื่อ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าดิฉันได้กลายเป็นคนมุสลิมที่สมบูรณ์แล้ว ดิฉันต้องเรียนและผ่านการทดสอบการอ่านภาษาอาหรับจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ใช้ในการละหมาด รวมถึงท่าปฏิบัติในการละหมาด ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีถึงจะได้เป็นมุสลิมที่สมบูรณ์

ดิฉันเปลี่ยนศาสนาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกกับครอบครัวเลย พ่อแม่และพี่น้องไม่ได้สงสัยอะไรเพราะดิฉันปฏิบัติตัวตามปกติทุกอย่าง แค่ระวังตัวเรื่องอาหาร ต้องเป็นอาหารฮาลาลเท่านั้น ส่วนเรื่องกินหมูนั้นไม่เป็นปัญหาเพราะดิฉันไม่กินหมูและเนื้อวัวมาตั้งแต่อายุ 16 ปีแล้ว ดิฉันไม่เคยมีความลับกับครอบครัว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อันที่จริง ใจของดิฉันอยากจะบอกความจริงกับท่านแทบตายแต่กลัวพ่อกับแม่รับไม่ได้ กลัวท่านคิดมาก อีกอย่างท่านก็แก่แล้วด้วย บางคืนอาจเป็นเพราะเราคิดมาก กังวลมากหรือเพราะจิตใต้สำนึกก็อยากแท้จะเข้าใจ คือบ่อยครั้งที่ดิฉันถึงขนาดเก็บไปฝัน ในฝันดิฉันเจอภูตผีปีศาจตามล่าเอาชีวิต ดิฉันรีบสวดมนต์บทคาถาชินบัญชรแทบตาย ภูตผีปีศาจก็ไม่ยอมหนีไป มันเหมือนมีใครในความฝันมาบอกว่า ตอนนี้ดิฉันเป็นมุสลิมแล้ว ต้องสวดมนต์ตามคัมภีร์อัลกุรฮานเท่านั้น

ก่อนงานแต่งงานของดิฉัน 7 วัน ดิฉันก็ได้บอกพ่อกับแม่ว่า เดี๋ยวจะมีคนมาบ้านเรานะ ท่านก็ถามว่ามาทำไม มากี่คน เป็นใคร ดิฉันบอกว่าเป็นคนสิงคโปร์มาเที่ยว ยังไม่รู้มากี่คน ไม่ต้องเตรียมอะไรต้อนรับ เพราะยังไม่แน่นอน เหตุผลที่ดิฉันบอกท่านไปอย่างนั้นเพราะกลัวท่านไม่เชื่อว่า ผู้หญิงกระโดกกระเดกโผงผางอย่างดิฉันก็มีคนมาชอบพอ อีกอย่างก็ไม่แน่ใจในตัวของว่าที่สามีด้วย พอเหลืออีก 3 วันก็ถึงวันกำหนดแต่งงงาน ดิฉันเลยตัดสินใจบอกท่านเรื่องที่ดิฉันกำลังจะแต่งงาน ท่านก็ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่าจริงๆหรือเปล่า แล้วทำไมพึ่งจะมาบอก ท่านบอกว่าเตรียมงานไม่ทันหรอก จะแต่งกับใครก็ไม่รู้ ดิฉันถึงได้เล่าเรื่องของคุณอัซมีร์ให้ท่านฟังและบอกท่านว่าไม่ต้องเตรียมงานอะไรเลย พรุ่งนี้พ่อไปบอกที่วัดให้ประกาศข่าวผ่านไมโครโฟนและบอกทุกคนในหมู่บ้านมากินเลี้ยงแค่นั้นก็พอ พ่อกับแม่ก็ไม่ยอม บอกว่าต้องมีพิธีทางศาสนาพุทธด้วยไม่งั้นท่านไม่ยอม

พ่อกับแม่จะเตรียมงานแต่งแบบพุทธให้ ดิฉันจึงต้องได้บอกว่าคุณอัซมีร์เขาเป็นมุสลิมและดิฉันเองก็เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิมเรียบร้อยแล้ว ที่แรกก็กลัวท่านทั้งสองรับไม่ได้ แต่พอได้บอกแล้วก็โล่งใจมากเหมือนยกเอาภูเขาไฟออกจากอก ตอนแรกพ่อกับแม่ก็อึ้ง ตามมาด้วยความไม่เชื่อเพราะดิฉันชอบตักบาตรทำบุญ สวดมนต์เช้า-เย็นนาน 1 ชั่วโมงทุกวัน แถมชอบบวชชีพราหมณ์อีก (แต่ท่านก็ไม่ได้เห็นดิฉันทำแบบนั้นนานแล้วหลังจากดิฉันเปลี่ยนศาสนา ท่านก็แปลกใจอยู่แต่ไม่กล้าถาม) อีกอย่างท่านคิดว่า ชาตินี้ดิฉันคงไม่มีทางได้แต่งงานเพราะคงไม่มีใครอยากได้ผู้หญิงครึ่งผู้ชายครึ่งอย่างดิฉันไปเป็นภรรยา ดิฉันไม่เคยพาผู้ชายที่เป็นมากกว่าเพื่อนเข้าบ้านเลยรวมถึงว่าที่สามีดิฉันด้วย เขาไม่เคยพบกับครอบครัวดิฉันเลย ดิฉันเองก็เหมือนกันยังไม่เคยเจอกับครอบครัวเขาเช่นกัน คือดิฉันกลัวความไม่แน่นอน กลัวครอบครัวเขาจะยอมรับเราไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่มุสลิมตั้งแต่เกิด

ดิฉันต้องหาหลักฐานการเปลี่ยนศาสนาให้พ่อกับแม่ดู แล้วพ่อก็เงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วท่านก็บอกว่า ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ถ้าคนที่จะมาเป็นสามีลูกเป็นคนดีพ่อก็ยอมรับ ส่วนแม่ก็มีเศร้าใจนิดหน่อยเพราะท่านกลัวว่าดิฉันจะไม่สามารถกลับมาหาครอบครัวได้อีก กลัวว่าถ้าเกิดคนในครอบครัวตายดิฉันจะไม่สามารถมาร่วมงานศพได้ ไม่สามารถทำบุญอุทิศส่วนกุศลได้ ดิฉันต้องพูดให้ท่านเข้าใจตามหลักศาสนาอิสลามว่า พ่อแม่คือผู้บังเกิดเกล้า อิสลามไม่เคยมีคำสอนให้ลืมบุญคุณพ่อกับแม่ ถึงมุสลิมจะไม่มีการทำบุญตักบาตรกวดน้ำ แต่มุสลิมก็มีวิธีการอุทิศส่วนบุญกุศลเหมือนกัน งานศพ งานบวช งานแต่งหรือบริจาคเงินสร้างวัด ดิฉันก็ยังทำได้เหมือนเดิม แต่ดิฉันจะไม่สามารถแต่งงานได้เลย ถ้าพ่อกับแม่ไม่อนุญาต (ส่วนหนึ่งที่ท่านเข้าใจเพราะเคยเห็นเพื่อนอาหรับจากดูไบที่ดิฉันเคยพาไปเยี่ยมบ้านเป็นตัวอย่าง)

หลังจากแต่งงานที่เมืองไทยเสร็จแล้ว ดิฉันก็ได้ยื่นใบลาออกจากงานบริษัททัวร์ที่ทำอยู่ เพราะดิฉันต้องเตรียมตัวเดินทางมาที่สิงคโปร์ ดิฉันได้ทำพิธีแต่งงาน (นิกะฮ์) อีกครั้งที่สิงคโปร์ ตามแบบอิสลามทุกประการ งานแต่งเริ่มจากว่าที่สามีดิฉันต้องกล่าวคำสาบานต่ออัลลาร์ โดยมีอิหม่ามเป็นตัวกลางว่าเขายอมรับดิฉันเป็นภรรยา เขาต้องเอ่ยชื่อว่าที่ภรรยาให้ถูกต้อง (หากเอ่ยชื่อผิด เขาจะให้โอกาสพูดใหม่ 3 ครั้ง หากยังพูดผิดอยู่ งานแต่ง(นิกะฮ์)นั้นก็เหมือนกับไม่ดี) สามีของดิฉันมีพี่น้องทั้งหมด 5 คนรวมกับเขาด้วย เป็นชายทั้ง 5 คน สามีดิฉันเป็นคนที่ 4 สามีดิฉันแต่งงานหลังคนอื่น พี่ๆ ทุกคนมีครอบครัวก็แยกบ้านออกไปกันหมด พ่อแม่สามีดิฉันก็เลยต้องอยู่กับสามีดิฉันมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วก็เลยเป็นภาระผูกพันหลังแต่งด้วย ครอบครัวสามีดิฉันเขาเป็นครอบครัวที่เคร่งครัดเรื่องศาสนามาก ตามหลักบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแล้ว มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตน ตามหลัก 5 ข้อ คือ (1) ต้องกล่าวคำซาฮะห์ดาห์ สาบานตนต่ออัลลาร์ ให้ได้ (2) ต้องทำการละหมาดทุกวัน วันละ 5 เวลา ยกเว้นผู้หญิงที่มีประจำเดือนทำละมาดไม่ได้ (3) ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฏอนเป็นเวลา 1 เดือน ยกเว้นผู้หญิงที่มีประจำเดือน ตั้งครรภ์และให้นมบุตร (4) ต้องจ่ายสากัต และ(5) ต้องเดินทางไปประกอบพิธี ฮัจย์ที่เมืองเมกกะฮ์ แต่ข้อสุดท้ายนี้ไม่เป็นการบังคับ มีอนุโลมผ่อนปรนได้

พอดิฉันย้ายเข้ามาอยู่บ้านสามีได้ 1 สัปดาห์ สามีดิฉันต้องไปทำงานที่ประเทศออสเตรีย 2 เดือน ทิ้งให้ดิฉันที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอยู่กับพ่อแม่สามีที่แก่ และก็เดินออกจากบ้านตามลำพังไปไกลๆไม่ไหว พ่อแม่สามีดิฉันเขาเป็นคนเชื้อสายมาเลย์ พูดเป็นแต่ภาษามาเลย์ ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ รับประทานอาหารต้องเป็นอาหารมาเลย์กับอินเดียเท่านั้น ดิฉันเป็นคนไทย พูดภาษาไทยกับภาษาอังกฤษสำเนียงแบบเอเชีย ทำกับข้าวมาเลย์หรืออินเดียไม่เป็นเลย ที่นี้ก็ต้องปวดหัวทุกวัน (เหมือนไก่กับเป็ดสื่อสารกัน) เพราะดิฉันมีหน้าที่ต้องไปตลาดซื้อข้าวของมาทำกับข้าว พ่อแม่สามีดิฉันสั่งรายการอาหารก็ล้วนแต่เป็นภาษามาเลย์ ดิฉันต้องอาศัยการจดทุกคำพูดของเขา แล้วไปถามคนที่ตลาดที่สามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษามาเลย์ได้ช่วยแปลให้ บางอย่างดิฉันก็สามารถชื้อหามาได้ แต่บางอย่างก็ไม่ได้คงเพราะดิฉันจับฟังสำเนียงภาษาของเขายังไม่ได้เลยทำให้เขียนผิดไป ดิฉันจึงอาศัยการเรียนภาษามาเลย์จากจุดนี้และจากการดูทีวีมาเลย์ที่มีคำแปลอยู่ข้างล่างด้วย

ครบ 2 เดือนสามีดิฉันเขาก็กลับจากออสเตรเลีย เขาเกือบจะมาสายเกินไป เพราะหลังจากนั้น 2 วัน พ่อเขาก็สิ้นใจ ประเพณีของชาวมุสลิมต้องรีบอาบน้ำศพโดยใช้ลูกเป็นคนทำพิธี (พ่อตายใช้ลูกชาย แม่ตายใช้ลูกสาว ถ้าไม่มีก็มีข้ออนุโลม) ต้องรีบนำศพไปฝังที่สุสานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ งานศพของชาวมุสลิมจะเป็นไปแบบเงียบๆ ไม่มีการจัดงานเลี้ยงตั้งโต๊ะเหมือนคนไทยกับคนจีน เพราะครอบครัวของคนตายอยู่ในช่วงเศร้าโศกเสียใจ เขาคงจะไม่มีอารมณ์มาจัดเตรียมงานอะไร อีกอย่างเขากำลังอยู่ในช่วงของความสูญเสีย เราจะไปกินไปจัดเลี้ยงก็เหมือนกับเป็นการซ้ำเติมเขาอีก งานศพของชาวมุสลิมจึงมีแต่มาช่วยกันให้ครอบครัวของผู้ตายรู้สึกผ่อนคลายกับการสูญเสียเท่านั้น

การนำศพไปสุสาน (กุโปร์) ทุกคนที่ตามไปส่งศพต้องแต่งตัวให้สุภาพตามหลักศาสนามุสลิม ดิฉันจึงต้องใส่ผ้าคลุมผมและคอ (ฮิยาบ์) รวมถึงเสื้อผ้าต้องปกปิดมิดชิด เสื้อต้องแขนยาวถึงข้อมือ ตัวเสื้อต้องยาวปิดสะโพก กางเกงหรือกระโปรงต้องยาวปิดข้อเท้า ตามหลักอิสลาม ผู้หญิงมุสลิมจะให้ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีเห็นผมและคอ รวมถึงส่วนอื่นๆของร่างกายไม่ได้ รวมถึงจะแตะเนื้อต้องตัวกับชายอื่นไม่ได้ด้วย ยกเว้นสายเลือดเดียวกัน

ตั้งแต่ดิฉันเข้ามุสลิม สามีดิฉันรวมถึงครอบครัวเขาไม่ได้บังคับ หรือฝืนใจดิฉันให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้เลย พวกเขาเข้าใจที่ ดิฉันเพิ่งจะเป็นมุสลิมใหม่ ไม่ได้เป็นคนมุสลิมโดยกำเนิด เพราะฉะนั้นความเข้าใจในหลักศาสนาจึงแตกต่างกัน อีกทั้งพวกเขายังสงสารดิฉันที่ดิฉันต้องอยู่ห่างไกล ครอบครัวและยอมละทิ้งประเพณีและวัฒนธรรมเดิมที่ดิฉันผูกพันมาตั้งแต่เกิดจนเรียกได้ว่า สิ่งเหล่านั้นคือวิญญาณของตัวเองมาสู่โลกของอิสลาม แต่ก็มีบ้างบางคนที่จิตใจยังมีอคติต่อคนไทยและผู้หญิงไทย ช่วงแรกที่มาอยู่ดิฉันยังไม่รู้ภาษามาเลย์ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร ดิฉันก็จะใช้วิธีเงียบ เอาคฝามสงบเข้าสยบความเคลื่อนไหว ตั้งหลักไว้ก่อน ในบางครั้งที่ดิฉันรู้สึกว่าเขาพูดไม่ดีเกี่ยวกับดิฉัน คนไทยและเมืองไทย ดิฉันต้องเงียบก่อนเพราะเรายังไม่เก่งพอที่จะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ ตอนนั้น ดิฉันโชคดีที่สามีดิฉันคอยปกป้องและให้ความช่วยเหลือโดยตลอด แต่สามีดิฉันก็สอนให้ดิฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้เร็วเพราะเขาไม่สามารถที่จะช่วยหรือปกป้องดิฉันได้ตลอด เขาต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ

มาถึงตอนนี้สบายมาก ดิฉันสามารถตอบโต้กับพวกใจอคติต่อคนไทยและผู้หญิงไทยได้แล้ว ดิฉันยอมไม่ได้ที่ใครจะมาดูถูกเมืองไทยและคนไทยที่ดิฉันภูมิใจ ด้วยนิสัยส่วนตัวดิฉันเป็นคนพูดตรง ดิฉันไม่ปล่อยให้เขามาว่าฝ่ายเดียวแน่นอน เพราะดิฉันได้เรียนรู้แล้วว่าสำหรับคนสิงคโปร์คำพูดที่ว่าสักวันเขาจะเข้าใจเอง...นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ สำหรับดิฉันแล้ว พวกเขาต้องรู้และเข้าใจวันนี้ ตอนนี้... ดิฉันจะไม่ให้พวกเขารอ...สักวัน...หรือปล่อยให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ เอาเอง

ครั้งแรกที่ดิฉันต้องได้ถือศีลอดในเดือนศักดิ์สิทธิ์รอมฎอน เรียกได้ว่าเกือบตายใน 4 วันแรก คงเป็นเพราะร่างกายดิฉันยังปรับตัวไม่ได้ เพราะดิฉันไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่เล็กๆ คือมุสลิมทุกคน เมื่ออายุครบ 7 ปีต้องสามารถถือศีลอดได้ การถือศีลอดคือ การไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่กลืนตั้งแต่เวลาเส้นพระอาทิตย์เส้นแรกมาเยือนขอบฟ้าในตอนเช้า คือก่อนเวลาประมาณ 05.30 น. (ก่อนละหมาดซูโบ) จนถึงช่วงหลังพระอาทิตย์เส้นสุดท้ายลับขอบฟ้าในตอนเย็น คือประมาณเวลา 19.30 น. (ละหมาดมารเกิร์ป) สามีของดิฉันบอกว่าถ้าดิฉันไม่สามารถถือได้ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเพราะการที่เราฝืนตัวเองมากๆ ทั้งที่ร่างกายรับไม่ไหว อิสลามถือว่าเป็นบาป แต่ดิฉันคิดว่าคนอื่นและเด็กยังสามารถ ถือศีลอดได้แถมยังสามารถทำงานได้อีก แล้วดิฉันก็เป็นคนเหมือนกันมีอะไรเหมือนกันทำไมจะทำไม่ได้ ดิฉันต่อสู้กับความหิวจนชนะ หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปร่างกายดิฉันก็ปรับตัวได้ แถมยังรู้สึกเบาตัว สบายตัว รู้สึกผิวพรรณสดใสขึ้น เคยมีคนพูดว่าการถือศีลอดเป็นการล้างพิษในร่างกายอย่างหนึ่ง และเป็นการดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ ตรงนั้นคงเป็นผลพลอยได้จากการถือศีลอด แท้ที่จริงแล้วการถือศีลอดตามหลักศาสนาอิสลามก็คือ การให้เราได้ระลึกถึงผู้ที่อดยากกว่าเรา สอนให้เรารู้จักแบ่งปัน และสอนให้เราซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น

พอสิ้นสุดเดือนรอมฏอนก็เข้าสู่เดือนอิลดิฟิตีห์ เป็นเดือนแห่งการสังสรรค์ เยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ให้ของขวัญแก่เด็ก (ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี และยังไม่มีงานทำ) ให้เงินคนแก่ชราที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว รวมถึงจ่ายค่าสกัตเพื่อช่วยเหลือคนยากจน คนที่ได้รับความทุกข์ยากลำบากและคนพิการ หลังจากเดือนอิลดิฟิตห์ ประมาณ 2 เดือนก็จะเป็นวันอิดินจดาฮาห์ ในวันนี้จะทำการเชือดแพะ แกะหรือวัว เพื่อเป็นการถวายต่อองค์อัลลาร์ เนื้อสัตว์ที่ได้ก็บริจาคให้กับคนยากคนจนต่อไป บางคนที่เขาได้ลูกชายหรือลูกสาวก็จะถือโอกาสนี้ในการทำสุนัตถ์ถวายต่อองค์อัลลาร์ด้วย โดยมากคนที่ได้ลูกชายจะต้องเชือด 2 ตัว ถ้าได้ลูกสาวก็จะเชือด 2 ตัว ในความคิดของดิฉัน ดิฉันคิดว่านี่คือกุศโลบายของคนโบราณ เพราะอาหารในสมัยโบราณหาอยากจึงคิดหาวิธีในการหาอาหาร ถ้าหากจะฆ่าสัตว์ทุกครั้งที่ไม่มีอาหาร อาหารหรือสัตว์ก็จะหมดอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างของการฆ่าสัตว์จากการได้ลูกสาวหรือลูกชาย คงเป็นเพราะในสมัยโบราณมีการสู้รบหรือสงคราม ความต้องการลูกชายจึงมีมากกว่า

ตั้งแต่ดิฉันแต่งงานมาอยู่กับสามี ตอนนี้ก็ 3 ปีแล้ว ดิฉันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก อย่างอาหารการกิน ดิฉันก็ยังสามารถกินอาหารไทยได้เหมือนเดิมทุกอย่าง ขอแค่ฮาลาลเท่านั้นเอง เรื่องการแต่งกายตามแบบชาวมุสลิม ดิฉันเห็นดีด้วยเพราะปัจจุบันนี้ปัญหาข่มขืน ฆาตรกรรม หรือปัญหาอนุภรรยา หรือภรรยามีชู้ส่วนหนึ่งก็มาจากการแต่งกาย การที่คนเราขาดกฎระเบียบของสังคมก็เริ่มมาจากความเคร่งครัดในศาสนา ดิฉันคิดอย่างนั้น ตอนนี้ถึงดิฉันจะไม่ได้บวชชีพราหมณ์ ถือศิล กินเจ และสวดมนต์แบบพุทธแล้ว แต่ดิฉันก็สามารถสวดมนต์อ้อนวอนต่อองค์อัลลาร์ ทำความดี ทำทานได้เหมือนตอนเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง เพราะการกระทำความดีนั้นทุกคนสามารถทำได้ โดยไม่มีการแบ่งแยกศาสนา แค่ดิฉันไม่ทำให้ใครทุกข์กายทุกข์ใจเพราะดิฉันก็ถือเป็นกุศลอย่างหนึ่งแล้ว ดิฉันยังสามารถช่วยหลือเพื่อนมนุษย์ รวมถึงสัตว์ตกยากได้เหมือนเดิม เพราะศาสนาอิสลามมีคำสอนให้มุสลิม ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนปฏิบัติต่อตัวเราเอง ทั้งนี้เพราะศาสนาอิสลามแปลว่า สันติ นั่นเอง

ขอบคุณอัลลาร์ที่พระองค์ทำให้ดิฉันได้พบเจอคุณอัซมีร์ เขาเป็นคนดีมากๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ ไม่เล่นการพนัน เกรงกลัวต่อบาป ใจเย็นสุดๆ เข้าใจและให้อภัยดิฉันทุกครั้งที่ดิฉันทำผิด คอยชี้แนะ คอยปกป้องให้ดิฉัน เดินไปในทางที่ถูกตามหลักมุสลิมที่ดี เขาคือผู้ชายที่ดีและวิเศษที่สุดที่ดิฉันได้พบมา ขอบคุณที่พระองค์ประทานความเมตตาต่อดิฉัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น