Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตคนขายแรง


โดย คำไพ งามดี

ผมอยากจะเขียนเล่าเรื่องเส้นทางชีวิตคนขายแรงสำหรับเพื่อนคนไทยและผู้อ่าน แต่ก็คิดว่าตัวเองคงทำได้ไม่ดีนัก เพราะผมเป็นแรงงานไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ ผิดตกอย่างไรก็ขออภัยด้วยก็แล้วกัน

ชีวิตของผมเกิดมากับครอบครัวจนๆ บ้านก็อยู่ชนบทไกลปืนเที่ยง บ้านเกิดอยู่หลังเขา สภาพแวดล้อมเป็นทุ่งนาป่าเขาจริงๆ ชีวิตจึงพบแต่ความยากลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ ผมจบการศึกษาแค่ชั้นประถม 6 ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ผมต้องออกโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาคนบ้านนอก สมัยนั้นถ้าอยากเรียนหนังสือต่อชั้นมัธยมต้องไปเรียนในตัวอำเภอ ซึ่งห่างจากบ้านผมประมาณ 20 กิโลเมตร การเดินทางก็ยากลำบาก ไม่มีรถโดยสารประจำทางพอที่จะเดินทางไปเรียนได้สะดวก พอย่างเข้าวัยรุ่นผมใฝ่ฝันอยากเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ผมกับน้องชายจึงขออนุญาตพ่อแม่เข้าไปหางานทำในเมืองหลวง ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นสภาพแวดล้อมบ้านเมืองที่สวยงาม มีตึกรามใหญ่โต ตามถนนหนทางมีรถวิ่งไปมาเต็มไปหมด
งานรับจ้างในเมืองหลวงที่ผมทำครั้งแรกในชีวิตคือ งานรื้ออะไหล่รถยนต์และอะไหล่มอเตอร์ เพื่อแยกเอาชิ้นส่วนที่เป็นโลหะทองแดงและอะลูมิเนียมเพื่อนำไปขายต่อ ผมทำงานนี้อยู่ 6 เดือนก็ต้องเร่ร่อนไปหางานใหม่ทำไปเรื่อยๆ ตามประสาชีวิตวัยหนุ่ม ทั้งๆ ที่การเปลี่ยนงานบ่อยไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเลย พอถึงวัยเกณฑ์ทหารผมก็กลับบ้านไปคัดเลือกทหารปรากฏว่าจับได้ใบแดงดี 1 ประเภท 1 ทหารเกณท์ผลัด 2 ประจำการอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดคือ อุดรธานี ผมใช้ชีวิตเป็นพลทหารอยู่สองปีก็ปลดประจำการ พร้อมกับวุฒิการศึกษา ม 3. ของ กศน. ผมเรียนหนังสือต่อตอนที่ผมเป็นทหารประจำการอยู่ เพราะผมต้องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
พอสิ้นสุดการเป็นทหาร ผมมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อหางานทำและตั้งใจจะเก็บเงินสักก้อน แต่แล้วความหวังของผมก็ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้เพราะความรู้น้อยอย่างผม ต้องทำงานหนัก แต่ได้เงินน้อยเพียงพอเฉพาะใช้จ่ายแต่ละวันเท่านั้น เรียกได้ว่ารายได้แค่พอยาไส้ไปวันๆ ชีวิตขายแรงงานอย่างผมจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ยังไม่ทราบได้ ผมบอกกับตัวเองว่า ทำงานที่เมืองไทยคงไม่สามารถสร้างอนาคตที่ดีให้ผมเป็นแน่ งานหนัก รายได้น้อย ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย ผมจึงเลือกที่จะมาขุดทองต่างประเทศเหมือนกับรุ่นพี่ที่เขาทำกันมาก่อน

ผมตัดสินใจยืมเงินเป็นค่านายหน้า แล้วไปเข้าคอร์สฝึกอบรมเพื่อทดสอบฝีมือแรงงานเพื่อจะมาทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อสอบผ่าน ผมก็ได้เข้ามาทำงานที่สิงคโปร์ ผมทำงานกับคนสิงคโปร์แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง พอเดินทางมาถึงวันแรก เถ้าแก่มารับที่สนามบิน ผมมาพร้อมกับเพื่อนแรงงานรุ่นเดียวกันทั้งหมด 13 คน เมื่อพวกเราทั้งหมดไปถึงที่พัก ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สิงคโปร์ จะจัดที่พักให้คนงานแบบสกปรกแฃะทรุดโทรมมาก ผมอยากจะกลับบ้านตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึง เสื้อผ้าข้าวของและเครื่องใช้ของแรงงานหลายๆ ชาติวางระเกะระกะอย่างไม่เป็นระเบียบ บ้างก็กองอยู่กับพื้น บ้างก็พาดตามราวระเบียง ส่งกลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นตัวอบอวลไปทั่วห้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อผมทำงานได้หนึ่งเดือนทุกอย่างเริ่มลงตัว เพราะผมชินกับสภาพแวดล้อมและเริ่มทำใจให้รับสภาพความเป็นจริงได้ ชีวิตกรรมกรอย่างผมก็ได้แต่แอบหวังว่า สักวันหนึ่งคงมีเงินเก็บสักก้อน เส้นทางเดินทางที่ยาวไกลในชีวิตคนขายแรงน่าจะมีโอกาสที่ดีกับเขาบ้าง
เมื่อครบสัญญา 2 ปี ผมลางานกลับบ้านพร้อมกับเงินเก็บก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ผมกลับไปบ้านและได้แต่งงานกับหญิงสาวคนรักที่บ้านเกิด ชีวิตหลังแต่งงานของผมก็คงไม่พ้นทำงานขายแรงเลี้ยงลูกเมีย ผมมีคติประจำใจว่า "ขยันยามหนุ่ม ดีกว่ากลุ้มยามแก่” “มีสองมือไว้ไขว่คว้าความฝัน มีสองตาส่องหาอนาคต และมีหนึ่งใจไว้รักเธอ" (ลูกและเมีย)

ชีวิตคนงานก่อสร้างอย่างผมเสี่ยงอันตรายสารพัดอย่าง ไหนจะกลัวว่าเครนยกของจะตกใส่กบาล ไหนจะถูกรังสีร้ายจากแสงแดดแผดเผาวันแล้ววันเล่า ไม่รู้วันไหนจะพลัดตกลงจากที่สูงเพราะว่าทำงานในที่สูงต้องปีนป่ายอยู่กับนั่งร้าน ต้องสูดฝุ่นควันปูนเข้าปอดทำให้สุขภาพอ่อนแอ สุขภาพจิตก็แย่ คิดถึงแต่หนี้สินที่ลูกเมียก่อไว้ให้ เมื่อไหร่จะหาเงินใช้หนี้หมดสักที ปัญหารายวันก็รุมเร้าเข้ามาแต่ละวันไม่ซ้ำกัน บางทีก็มีปัญหากับโฟร์แมนบางครั้งก็ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ผมรู้สึกว่าความปลอดภัยในชีวิตของคนขายแรงงานอย่างผมมีน้อยมาก ไม่รู้ว่าวันไหนคราวเคราะห์จะมาเยือน ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีลมหายใจอยู่ดูโลกนี้ไปอีกนานเท่าไร เพราะว่าชีวิตมีแต่อันตรายรอบด้าน ผมก็ได้แต่หวังว่าคนที่อยู่เมืองไทยจะห่วงใยและเข้าใจหัวอกคนขายแรงอย่างพวกเราบ้าง แต่ละวันผมมองหน้าเพื่อนร่วมงานมีแต่ความหมองหม่น ผมคิดว่าชีวิตเขาคงเผชิญหน้ากับความยากลำบากไม่แตกต่างจากผมเท่าใดนัก
สรุปแล้ว ชีวิตของพวกผมคงจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน ตราบใดที่ยังมีงานให้พวกผมทำในต่างแดนพวกผมคงจะต้องดิ้นรนต่อสู้ต่อไปตามยถากรรม ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจหมดเวรหมดกรรมกันไปที

1 ความคิดเห็น: