Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

“เพื่อนผมไหลตายในสิงคโปร์... แต่เมียเขาพาชู้มารับศพกลับบ้าน”

“เพื่อนผมไหลตายในสิงคโปร์...

แต่เมียเขาพาชู้มารับศพกลับบ้าน”

โดย ชัยณรงค์ บุญศิริ

ผมเป็นคนงานก่อสร้างทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ผมทำงานเป็นแรงงานต่างชาติที่นี่เป็นปีที่ 6 ส่วนเพื่อนคนที่เสียชีวิตทำงานมา 7 ปีแล้ว ชื่อคุณบรรพต โพธิ์คำ เกิดปี พ.ศ. 2506 เพื่อนผมเสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา ก่อนหน้าจะเสียชีวิตเวลา 23.15 น. ของวันที่ 5 กันยายน ผมกับคุณบรรพตก็ไปดูว่า เงินค่าแรงออกหรือยัง เขากดเงินออกมา $500 เหลือใน ATM อีก $250 พอถึงเวลา 24.00 น. เราก็ไปทำงานกันต่อ วันนั้นก็ไม่ได้ทำงานหนักมาก หลังเลิกงานตอนเช้า เขาบอกผมว่าอยากกินลาบหมู แล้วก็ยื่นบัตร ATMให้ผมพร้อมกับรหัส ให้ผมกดเงินไปซื้อของมาทำลาบกินกัน ส่วนตัวเขาจะกลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำก่อน ผมไปกดเงินของเขาออกมา $100 ผมกลับมาถึงห้องพักประมาณเวลา 6.00น.ทำกับข้าวเสร็จและกินกันก็ประมาณ 7.00น. มีเพื่อนคนไทย 3 คน ฟิลิปปินส์ 2 คน พม่า 1 คน ผมซื้อเหล้าหงส์ทองมา 1 แบน อยากจะให้เขากินข้าวอร่อย กินเหล้ากัน 5 คน ผมไม่กินเหล้า

ก่อนที่พวกเราจะกินข้าว เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อคุณสุรศักดิ์ ซึ่งที่ทำงานของเขาไกลจากจุดที่ผมและคุณบรรพตพักอยู่ประมาณ 400-500 เมตร คุยให้ฟังว่าเหมือนเป็นลาง เพราะได้ยินเสียงคนเดินมาประมาณ 4-5 คน แกเปิดประตูออกไปดู นึกว่าเสียงเพื่อนเดินมา แต่ก็ไม่เห็นเพื่อนเลย แกก็แปลกใจเพราะว่าเมื่อตะกี้ได้ยินเสียงคนเดินมาแต่ทำไมไม่มีใครเลย จริงๆ ที่ตรงนั้นเป็นป่าช้าเก่าแถว Potong Pasir พอผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณบรรพตฟัง แกก็บอกว่า ถ้าเป็นผมนะ ผมไม่อยู่หรอก วิ่งเตลิดไปก่อนแล้ว พอพวกเรากินข้าวเช้าเสร็จเวลาประมาณ 7.30 น.พวกเราก็เข้านอนกัน ผมได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกของคุณบรรพตที่ตั้งปลุกไว้ 11.30 น. เพราะโฟร์แมนบอกว่าบ่ายโมงจะต้องเริ่มทำงานอีกรอบ พอตอนเที่ยงผมไปปลุก แต่เขาตายเสียแล้ว ไม่มีใครได้ยินเสียงเขาเลย หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเรานอนหลับกันหมดก็ไม่รู้ได้

ผมโทรศัพท์แจ้งตำรวจเวลาประมาณ 13.00น. หลังจากนั้นมีตำรวจ 2 คน มาดูศพ ตรวจกระเป๋าสตางค์ของคุณบรรพตว่ามีเงินสด $500 บัตรATM บัตรส่งเงิน นาฬิกาข้อมือ ของติดรวมอย่างอื่นอีกรวม 4-5 รายการ ตำรวจจดทุกรายการไว้ให้ผมแล้วให้ผมเซ็นชื่อรับทราบไว้เป็นภาษาอังกฤษ ในตอนเช้าของวันที่ 7 เวลา 8 โมง เจ้าหน้าที่ขอให้ผมไปที่ Singapore General Hospital ผมนั่งแท็กซี่จาก Serangoon ไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยยืนยันว่า ศพที่จะส่งไปเมืองไทยใช่คุณบรรพตหรือไม่ เขาขอให้ผมเขียนที่อยู่ให้ผมก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษให้เขา เวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง ผมเข้าไปดูศพก็ยืนยันว่าเป็นศพของคุณบรรพตจริง จากนั้นเขาก็ส่งศพกลับเมืองไทยทางเครื่องบิน ก่อนหน้านี้ผมได้ติดต่อไปทางภรรยา ญาติ และพี่สาวของคุณบรรพตให้มารับศพของเขาที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ได้ไปที่สถานทูต เพื่อถามว่าคุณบรรพตตายจากสาเหตุอะไรเกิดจากสารเคมีหรือช็อคตาย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอก่อนผลตรวจอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา จากนั้นผมก็โทรแจ้งคุณลัดดาที่สำนักงานแรงงานไทยในสิงคโปร์

ตอนเที่ยงวันเดียวกัน ผมก็ไปกดเงินที่เหลือใน ATM ของคุณบรรพตจำนวน $150 หลังจากวันนั้นผมได้กดไปแล้ว $100 แล้วผมก็กดออกมาอีก $150 ผมส่งเงินให้ภรรยาของเขาที่ร้านส่งเงิน “เพื่อนไทย” เป็นเงิน $753 ผมเอาเงินตัวเองออกแทนให้เขาไป $100 ที่ทำกับข้าวกินกันวันนั้น เพราะผมไม่อยากจะให้เขาจ่าย จากนั้นก็มีคนมาถามผมเรื่องเงินของคุณบรรพต ผมไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ประกัน เขาถามว่าคุณบรรพตมีเงินอยู่เท่าไหร่ ผมก็ตอบไป $750 ผมจัดการส่งให้ภรรยาของเขาที่เมืองไทยแล้ว เขาไม่ค่อยพอใจถามว่าคุณไปกดเงินเขาทำไม เพราะผมได้โทรถามคุณสังเวียนภรรยาของคุณบรรพตว่ามีเงินติดตัวเพื่อมารับศพคุณบรรพตกลับบ้านไหม เขาบอกไม่มีไปกู้ยืมเพื่อนมา 20,000 บาท หลังจากนั้นผมก็ติดต่อกันเรื่อยมา

ผมมารู้ทีหลังจากพี่สาวของคุณบรรพตว่าวันที่ไปรับศพ ชู้ของภรรยาขับรถมารับศพด้วย พี่สาวก็ถามว่าคุณเป็นใคร เป็นแฟนของคุณสังเวียนใช่ไหม เขาก็ตอบว่าใช่ ผมได้แต่ขอบคุณชู้ของเมียเขามากๆ ที่ทำแบบนี้ ผมโกรธมากไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ก็ได้แต่พูดว่าขอบคุณ ตอนนี้คุณบรรพตยังมีเงินสะสมร้อยละ 4 หรือเงิน Income Tax ที่จะได้จากบริษัทอีกประมาณ $2,000 แต่โฟร์แมนบอกผมว่าคุณบรรพตจะได้เงินประมาณ $3,000 ผมจะส่งเงินที่เหลือให้เขาโดยผ่านบัญชีนางสาวยุวดี ลูกสาวของเขา ผมให้ยุวดีส่งแฟกซ์เลขที่บัญชีธนาคารมาที่บริษัทของผมแล้ว ผมตัดสินใจทำอย่างนี้เพราะผมเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ซื่อต่อเขา ผมคิดว่า หากคุณบรรพตยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะเห็นด้วยกับผมว่า เงินน้ำพักน้ำแรงก้อนสุดท้ายในชีวิตของเขาควรจะถูกใช้เป็นทุนการศึกษาเพื่ออนาคตของลูกสาว

ต่อมาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ผลชันสูตรศพก็ออกมาว่าคุณบรรพตไหลตายหรือหัวใจล้มเหลว คือคุณบรรพตทำงานเกี่ยวกับสารเคมีทินเนอร์มาตั้งแต่ปี 2007 รวมประมาณ 2 ปี เขาเป็นคนไม่ชอบใส่หน้ากากป้องกันกลิ่นเลย แต่ผมจะใส่หน้ากากแบบที่เขาใส่กันตอนพ่นสีรถยนต์ เขาเป็นคนคุมเครื่อง ต้องล้างเครื่องได้กลิ่นทินเนอร์อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนผอม กินก็กินน้อย ประเด็นสำคัญมีเรื่องทางบ้าน ผมเคยชวนเขากลับบ้านด้วยกัน เขาก็จะบอกผมว่า จะกลับทำไมกลับไปก็ไม่มีความสุข ขนาดผมชักชวนเขาถึงขั้นจะจ่ายเงินค่าเครื่องบินให้เอง แต่เขายืนยันว่าไม่กลับ พอเขาตายไปแล้ว ผมถึงมารู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงไม่อยากกลับบ้าน

ชีวิตคนงานข้ามชาติมันน่าหดหู่เช่นนี้เอง ทำงานหาเงินจนตัวตาย เมียยังทำงามหน้า ให้ชู้ขับรถพามารับศพผัวกลับบ้าน

ชีวิตของเพื่อนผมคนนี้ควรจะเป็นเครื่องเตือนใจให้กับเพื่อนแรงงานไทยที่ยังดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตที่สิงคโปร์ ผมว่าคนงานไทยส่วนมากจะเครียดเรื่องทางบ้าน มีความกังวลเรื่องเงินที่เป็นหนี้เป็นสินอย่างมาก บางคนก็มีปัญหาเรื่องการงานที่สิงคโปร์ บางคนก็มีปัญหาครอบครัว เช่น เมียที่อยู่เมืองไทยมีชู้เลยทำให้คิดมาก อย่างกรณีของคุณบรรพต เขารู้ข่าวว่าแฟนมีผู้ชายคนใหม่ เลยทำให้คิดมากเครียดมาก ประกอบกับคุณบรรพตเป็นคนไม่ชอบระบายให้ใครฟังจึงเก็บไว้คนเดียว ผมคิดว่า การที่เรากลัดกลุ้มอยู่คนเดียวไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง ทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายเราแย่ เมื่อเราไม่ยอมระบายให้ใครฟัง เราก็ยิ่งคิดยิ่งเครียดขึ้นไปอีก ผมอยากให้เพื่อนๆ อย่าเก็บปัญหาไว้ในใจคนเดียว ระบายให้เพื่อนฟังบ้าง อย่างผมนี่เวลามีปัญหาผมจะพูดให้เพื่อนฟังตลอด ที่สำคัญ อย่าหันไปหาเหล้าเพราะเหล้านั้นช่วยอะไรคุณไม่ได้ เมื่อคุณเมา คุณคิดว่าเหล้าทำให้คุณลืมความเครียดที่คุณมีอยู่ แต่เมื่อคุณหายเมาละครับ ความเครียดก็ยังอยู่เหมือนเดิม สำหรับผม พอมีปัญหาอะไรผมพูดระบายให้เพื่อนฟัง แล้วจะทำให้ผมสบายใจขึ้น เหล้าช่วยอะไรเราไม่ได้เลย มีแต่จะนำความทุกข์มาเพิ่มให้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น