“เพื่อนผมไหลตายในสิงคโปร์...
แต่เมียเขาพาชู้มารับศพกลับบ้าน”
โดย ชัยณรงค์ บุญศิริ
ผมเป็นคนงานก่อสร้างทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ผมทำงานเป็นแรงงานต่างชาติที่นี่เป็นปีที่ 6 ส่วนเพื่อนคนที่เสียชีวิตทำงานมา 7 ปีแล้ว ชื่อคุณบรรพต โพธิ์คำ เกิดปี พ.ศ. 2506 เพื่อนผมเสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา ก่อนหน้าจะเสียชีวิตเวลา 23.15 น. ของวันที่ 5 กันยายน ผมกับคุณบรรพตก็ไปดูว่า เงินค่าแรงออกหรือยัง เขากดเงินออกมา $500 เหลือใน ATM อีก $250 พอถึงเวลา 24.00 น. เราก็ไปทำงานกันต่อ วันนั้นก็ไม่ได้ทำงานหนักมาก หลังเลิกงานตอนเช้า เขาบอกผมว่าอยากกินลาบหมู แล้วก็ยื่นบัตร ATMให้ผมพร้อมกับรหัส ให้ผมกดเงินไปซื้อของมาทำลาบกินกัน ส่วนตัวเขาจะกลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำก่อน ผมไปกดเงินของเขาออกมา $100 ผมกลับมาถึงห้องพักประมาณเวลา 6.00น.ทำกับข้าวเสร็จและกินกันก็ประมาณ 7.00น. มีเพื่อนคนไทย 3 คน ฟิลิปปินส์ 2 คน พม่า 1 คน ผมซื้อเหล้าหงส์ทองมา 1 แบน อยากจะให้เขากินข้าวอร่อย กินเหล้ากัน 5 คน ผมไม่กินเหล้า
ก่อนที่พวกเราจะกินข้าว เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อคุณสุรศักดิ์ ซึ่งที่ทำงานของเขาไกลจากจุดที่ผมและคุณบรรพตพักอยู่ประมาณ 400-500 เมตร คุยให้ฟังว่าเหมือนเป็นลาง เพราะได้ยินเสียงคนเดินมาประมาณ 4-5 คน แกเปิดประตูออกไปดู นึกว่าเสียงเพื่อนเดินมา แต่ก็ไม่เห็นเพื่อนเลย แกก็แปลกใจเพราะว่าเมื่อตะกี้ได้ยินเสียงคนเดินมาแต่ทำไมไม่มีใครเลย จริงๆ ที่ตรงนั้นเป็นป่าช้าเก่าแถว Potong Pasir พอผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณบรรพตฟัง แกก็บอกว่า ถ้าเป็นผมนะ ผมไม่อยู่หรอก วิ่งเตลิดไปก่อนแล้ว พอพวกเรากินข้าวเช้าเสร็จเวลาประมาณ 7.30 น.พวกเราก็เข้านอนกัน ผมได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกของคุณบรรพตที่ตั้งปลุกไว้ 11.30 น. เพราะโฟร์แมนบอกว่าบ่ายโมงจะต้องเริ่มทำงานอีกรอบ พอตอนเที่ยงผมไปปลุก แต่เขาตายเสียแล้ว ไม่มีใครได้ยินเสียงเขาเลย หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเรานอนหลับกันหมดก็ไม่รู้ได้
ผมโทรศัพท์แจ้งตำรวจเวลาประมาณ 13.00น. หลังจากนั้นมีตำรวจ 2 คน มาดูศพ ตรวจกระเป๋าสตางค์ของคุณบรรพตว่ามีเงินสด $500 บัตรATM บัตรส่งเงิน นาฬิกาข้อมือ ของติดรวมอย่างอื่นอีกรวม 4-5 รายการ ตำรวจจดทุกรายการไว้ให้ผมแล้วให้ผมเซ็นชื่อรับทราบไว้เป็นภาษาอังกฤษ ในตอนเช้าของวันที่ 7 เวลา 8 โมง เจ้าหน้าที่ขอให้ผมไปที่ Singapore General Hospital ผมนั่งแท็กซี่จาก Serangoon ไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยยืนยันว่า ศพที่จะส่งไปเมืองไทยใช่คุณบรรพตหรือไม่ เขาขอให้ผมเขียนที่อยู่ให้ผมก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษให้เขา เวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง ผมเข้าไปดูศพก็ยืนยันว่าเป็นศพของคุณบรรพตจริง จากนั้นเขาก็ส่งศพกลับเมืองไทยทางเครื่องบิน ก่อนหน้านี้ผมได้ติดต่อไปทางภรรยา ญาติ และพี่สาวของคุณบรรพตให้มารับศพของเขาที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ได้ไปที่สถานทูต เพื่อถามว่าคุณบรรพตตายจากสาเหตุอะไรเกิดจากสารเคมีหรือช็อคตาย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอก่อนผลตรวจอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา จากนั้นผมก็โทรแจ้งคุณลัดดาที่สำนักงานแรงงานไทยในสิงคโปร์
ตอนเที่ยงวันเดียวกัน ผมก็ไปกดเงินที่เหลือใน ATM ของคุณบรรพตจำนวน $150 หลังจากวันนั้นผมได้กดไปแล้ว $100 แล้วผมก็กดออกมาอีก $150 ผมส่งเงินให้ภรรยาของเขาที่ร้านส่งเงิน “เพื่อนไทย” เป็นเงิน $753 ผมเอาเงินตัวเองออกแทนให้เขาไป $100 ที่ทำกับข้าวกินกันวันนั้น เพราะผมไม่อยากจะให้เขาจ่าย จากนั้นก็มีคนมาถามผมเรื่องเงินของคุณบรรพต ผมไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ประกัน เขาถามว่าคุณบรรพตมีเงินอยู่เท่าไหร่ ผมก็ตอบไป $750 ผมจัดการส่งให้ภรรยาของเขาที่เมืองไทยแล้ว เขาไม่ค่อยพอใจถามว่าคุณไปกดเงินเขาทำไม เพราะผมได้โทรถามคุณสังเวียนภรรยาของคุณบรรพตว่ามีเงินติดตัวเพื่อมารับศพคุณบรรพตกลับบ้านไหม เขาบอกไม่มีไปกู้ยืมเพื่อนมา 20,000 บาท หลังจากนั้นผมก็ติดต่อกันเรื่อยมา
ผมมารู้ทีหลังจากพี่สาวของคุณบรรพตว่าวันที่ไปรับศพ ชู้ของภรรยาขับรถมารับศพด้วย พี่สาวก็ถามว่าคุณเป็นใคร เป็นแฟนของคุณสังเวียนใช่ไหม เขาก็ตอบว่าใช่ ผมได้แต่ขอบคุณชู้ของเมียเขามากๆ ที่ทำแบบนี้ ผมโกรธมากไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ก็ได้แต่พูดว่าขอบคุณ ตอนนี้คุณบรรพตยังมีเงินสะสมร้อยละ 4 หรือเงิน Income Tax ที่จะได้จากบริษัทอีกประมาณ $2,000 แต่โฟร์แมนบอกผมว่าคุณบรรพตจะได้เงินประมาณ $3,000 ผมจะส่งเงินที่เหลือให้เขาโดยผ่านบัญชีนางสาวยุวดี ลูกสาวของเขา ผมให้ยุวดีส่งแฟกซ์เลขที่บัญชีธนาคารมาที่บริษัทของผมแล้ว ผมตัดสินใจทำอย่างนี้เพราะผมเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ซื่อต่อเขา ผมคิดว่า หากคุณบรรพตยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะเห็นด้วยกับผมว่า เงินน้ำพักน้ำแรงก้อนสุดท้ายในชีวิตของเขาควรจะถูกใช้เป็นทุนการศึกษาเพื่ออนาคตของลูกสาว
ต่อมาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ผลชันสูตรศพก็ออกมาว่าคุณบรรพตไหลตายหรือหัวใจล้มเหลว คือคุณบรรพตทำงานเกี่ยวกับสารเคมีทินเนอร์มาตั้งแต่ปี 2007 รวมประมาณ 2 ปี เขาเป็นคนไม่ชอบใส่หน้ากากป้องกันกลิ่นเลย แต่ผมจะใส่หน้ากากแบบที่เขาใส่กันตอนพ่นสีรถยนต์ เขาเป็นคนคุมเครื่อง ต้องล้างเครื่องได้กลิ่นทินเนอร์อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนผอม กินก็กินน้อย ประเด็นสำคัญมีเรื่องทางบ้าน ผมเคยชวนเขากลับบ้านด้วยกัน เขาก็จะบอกผมว่า จะกลับทำไมกลับไปก็ไม่มีความสุข ขนาดผมชักชวนเขาถึงขั้นจะจ่ายเงินค่าเครื่องบินให้เอง แต่เขายืนยันว่าไม่กลับ พอเขาตายไปแล้ว ผมถึงมารู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงไม่อยากกลับบ้าน
ชีวิตคนงานข้ามชาติมันน่าหดหู่เช่นนี้เอง ทำงานหาเงินจนตัวตาย เมียยังทำงามหน้า ให้ชู้ขับรถพามารับศพผัวกลับบ้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น