Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แม่ผัว vs. ลูกสะใภ้


โดย กาในฝูงหงส์

ข้าพเจ้าได้แต่งงานมาอยู่กินกับสามีชาวสิงคโปร์เมื่อปี 2546 พร้อมกับย้ายมาอยู่บ้านของครอบครัวสามี ซึ่งประกอบด้วยคุณแม่ของสามี และพี่ชายสามีซึ่งหย่าร้างกับภรรยาหลังอยู่กินกันมานานถึง 20 ปี ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดมาก ปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่มักปรากฏตามหนังสือนวนิยายหรือละครโทรทัศน์ก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบแม่สามีเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนแก่ที่จุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น และน่ารำคาญเป็นที่สุด เขาใช้งานข้าพเจ้าทุกอย่าง เช่น เก็บกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผักด้วยมือ ห้ามใช้เครื่องซักผ้า หุงข้าว ทำกับข้าว พอกินเสร็จเราต้องเก็บกวาดล้างอีก เขาเห็นเราเป็นแม่บ้าน แม้แต่แก้วน้ำกินยังเรียกให้เอามาให้ มีอีกหลายๆ ครั้งที่แม่สามีได้พาข้าพเจ้าไปเก็บกวาดบ้านของน้องสาวสามี และพี่ชายสามี ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นได้แยกบ้านไปอยู่ต่างหากแล้ว แต่แม่สามียังใช้ให้ไปทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ พี่น้องสามีมีอยู่ทั้งหมด 5 คน ข้าพเจ้าต้องไปทำความสะอาดบ้านให้ทุกคน ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปทำให้ด้วย เขาคงเห็นเราเป็นเด็กบ้านนอกกระมัง

มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทะเลาะกับพี่ชายของสามีที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน แค่เรื่องรีดผ้า ข้าพเจ้าซื้อน้ำยารีดผ้าเรียบมารีดผ้าให้พี่ชายสามี โดยใช้เงินของข้าพเจ้าเอง เขาก็ด่าว่าเสื้อผ้าเขาดีๆ มียี่ห้อทำไมต้องใช้น้ำยาอะไรก็ไม่รู้มารีดผ้าให้เขา ข้าพเจ้าก็อธิบายว่า อันนี้คือน้ำยารีดผ้าเรียบของไทย แต่เขาก็ด่าว่าเราสารพัด ใช้คำหยาบภาษาจีน เช่น กานีนาเช่าซีใบ กำหลั่น ติวลิวโลโม หรือคำว่า “พูดไม่รู้ฟัง แล้วยังมีหน้ามาเถียงอีก” และอีกคำด่าว่าหลายๆ ชุด ที่ข้าพเจ้าทนไม่ได้คือ การใช้คำหยาบลามปามไปถึงพ่อแม่และครอบครัวของข้าพเจ้า “ลื้อมีเงินมากนักหรือถึงได้ซื้อของอย่างนี้มาใช้” เขาคงถือว่าครอบครัวตัวเองมีฐานะดีกว่าครอบครัวที่บ้านของข้าพเจ้า เมื่อทนไม่ไหว ข้าพเจ้าก็ตอกไปว่า “ทำไมต้องพูดถึงพ่อแม่ด้วย” พี่ชายสามีว่า “ก็อยากมีลูกอวดเก่งอย่างนี้ทำไมละ”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็มีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าข้าพเจ้าก็ทำงานให้เขาสารพัดอย่าง แม้กระทั่งกางเกงในของพี่ชายก็ซักให้ พวกเขายังไม่เห็นความดี พวกเขาเริ่มกลั่นแกล้งข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น เช่น มีโถส้วมอยู่ก็ไม่ใช้ ต้องเยี่ยวลงพื้นแล้วเอาน้ำราด กระดาษทิชชู่เช็ดแล้วก็ไม่ทิ้งลงถังขยะแต่กลับทิ้งลงพื้นห้องน้ำ ถ้วยชามกินแล้วก็ไม่เก็บไม่ล้างต้องรอให้ข้าพเจ้ามาทำทุกอย่าง เวลากินข้าวก็ไม่ได้นั่งกินพร้อมพวกเขา ต้องกินทีหลัง อาหารเหลือจากเมื่อวานก็ให้อุ่นกิน สถานการณ์ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 2 ปีกว่าๆ ข้าพเจ้าเริ่มทนไม่ไหวกับการกระทำของพวกเขา ข้าพเจ้าเริ่มทะเลาะกับสามีจนถึงขั้นขอหย่าขาดจากสามี แต่ที่ผ่านมาสามีไม่เคยรับรู้ว่าเมียตัวเองมีปัญหากับคนในบ้าน สามีข้าพเจ้าออกไปทำงานตั้งแต่เช้าประมาณตีห้าครึ่ง เลิกงานห้าโมงเย็น สามีทำงานเป็นเชฟที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทท์ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยพูดบ่นให้เขาฟัง สามีก็หาทางแก้ปัญหาโดยให้ข้าพเจ้าใช้เวลาว่างโดยการหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้ แล้วก็มาได้ที่สมาคมเพื่อนแรงงานไทย ข้าพเจ้ามาเรียนที่นี่ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ คอยสอนคอยให้คำปรึกษาที่ดี มีอาจารย์ที่ดีก็พอให้หายคิดถึงเมืองไทยลงไปบ้าง ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เที่ยงจนถึงหกโมงเย็น ข้าพเจ้าเรียนภาษาอังกฤษที่สมาคมเพื่อนแรงงานไทยได้ปีกว่าๆ ก็ยื่นใบสมัครขอเป็นผู้พำนักถาวรของสิงคโปร์ (Permanent Resident--PR) พอข้าพเจ้าได้เป็น PR แล้วก็เริ่มหางานทำ ข้าพเจ้าได้งานเป็นกุ๊กที่ร้านอาหารไทย Thai Express พอทำงานได้ปีกว่าๆ ข้าพเจ้าตั้งท้อง สามีก็ไม่ให้ทำงาน ข้าพเจ้ามีเวลาอยู่บ้านกับแม่สามีอีก ตอนที่ข้าพเจ้าคลอดลูกเป็นลูกผู้หญิง (ตอนนี้อายุ 3 ขวบแล้ว) แม่สามีข้าพเจ้าก็ไม่พอใจอีก (เลือกได้ก็ดีสิ...ข้าเจ้าแอบเถียงอยู่ในใจ) ก็ตามประสาคนจีนนั่นแหละ เขาชอบมีลูกหลานผู้ชายกัน

ข้าพเจ้าจะพยายามอดทนอยู่ต่อกับพวกเขาให้ได้เพื่อลูกสาว ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เริ่มเรียนต่อระดับปริญญาตรีของ มสธ. ที่สิงคโปร์ด้วย จะพยายามเรียนให้จบเพื่อสักวันจะได้กลับบ้านไปอยู่เมืองไทย ข้าพเจ้าจะพยายามสู้ชีวิตต่อไปให้สมกับคำกลอนประจำใจตัวเองที่ว่า

ด้วยสองมือสองเท้าที่ก้าวมั่น จะสร้างฝันด้วยแรงอันแข็งขืน

จะคว้าจันทร์งามยามค่ำคืน จะหยัดยืนปีนไปให้ถึงดาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น