Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

บันทึกระทมของคนขายตัว

บันทึกระทมของคนขายตัว

โดย ฉันเอง

ฉันตั้งใจถ่ายทอดประวัติชีวิตของฉันไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ฉันอยากให้ผู้หญิงที่หันเหชีวิตมาทางนี้ (โสเภณี) ได้อ่านและใช้วิจารณญาณคิดตัดสินใจให้ดี ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งคุณอาจจะเจอเหตุการณ์อย่างฉันก็ได้ หวังว่าบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านตามสมควร สิ่งที่ฉันได้ผ่านพบมาอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตนี้ เเต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเล่าต่อไปนี้คือความจริง แม้จะเป็นเเค่บางส่วนบางแง่มุมก็ตาม ฉันไม่ชอบการโกหกและคิดว่าคำลวงเป็นโทษภัยมากกว่าเป็นประโยชน์ ผู้อ่านกรุณาใช้วิจารณญาณพิจารณาเส้นทางชีวิตของฉันด้วยตัวเองก็แล้วกัน

เส้นทางชีวิตของฉัน

เรียกฉันตามชื่อเล่นก็แล้วกัน ฉันชื่อ “พลอย” ตัวฉันเกิดที่ จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้ ฉันไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย ฉันมีเเต่เเม่เพียงคนเดียว เเม่มีฉันคนเดียว เเต่ว่าตอนนี้เเม่มีสามีใหม่ไปเเล้ว สามีใหม่ของเเม่ก็มีลูกติด 2 คน อายุมากกว่าฉันทั้งสองคนแต่ก็ถือว่าไล่เลี่ยกัน ฉันเข้ากับทุกคนได้ดี ตอนนี้ฉันอายุ 22 ปี ฉันย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตามเเม่พร้อมกับสามีใหม่ของเเม่ ฉันเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่นั่น บ้านของฉันทำไร่ ทำนา ตาของฉันมีที่เยอะเเต่ไม่ได้ตกมาเป็นของเเม่ ตั้งเเต่จำความได้ ในชีวิตฉันเเม่ทำทุกอย่างให้ฉันตั้งแต่เล็กจนโต บ้านฉันไม่ได้ร่ำรวยเเต่เวลาอยากได้อะไรที่ไม่มีราคาค่างวดมากนัก ส่วนมากฉันจะได้ตามที่ตัวเองต้องการ

พอฉันเรียนจบ ม.3 ตาต้องการให้เรียนต่อโดยต้องเชื่อฟังคำสั่งของตาทุกอย่าง (คืออยู่ในกรอบ) ฉันไม่ชอบ ฉันจึงตัดสินใจไม่เรียนฉันเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เเถวๆ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังโดยไปสมัครทำงานด้วยกันหลายเเห่งจนสุดท้ายฉันได้งานขายเครื่องใช้ไฟฟ้า(ฮาร์ดแวร์) ทำอยู่นานจนสั่งออเดอร์ของกับเซลล์ เช็คบิล เขียนเช็คจ่ายเงินให้ลูกค้า เช็คสเตทเมนท์ ฉันรู้เกือบหมดทุกอย่างเกี่ยวกับการค้าขายวัสดุก่อสร้าง ตอนนั้นความปรารถนาที่จะเรียนต่อยังอยู่ในสมองของฉันตลอด ฉันจึงเรียนต่อ ก.ศ.น. จบมัธยมศึกษาตอนปลาย เเล้วต่อชั้น ป.ว.ส. (วิชาเอกการตลาด) ของโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตอนนั้นอายุ 18 ปี ฉันเลือกเรียนภาคค่ำ ระหว่าง 17.30-21.00 น. ฉันเลิกงาน 6 โมงเย็นเเต่ฉันขอเถ้าเเก่เลิกก่อนได้เพราะเถ้าเเก่รักฉัน ที่ร้านเดือนหนึ่งจะปิดครึ่งวัน เริ่มงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าทุกวัน ฉันลำบากเเต่ก็ต้องอดทนเพราะฉันอยากเรียนต่อมาก

ชีวิตเปลี่ยนที่กรุงเทพฯ

ชีวิตฉันวุ่นวายอยู่กับการงานและการเรียนประมาณ 1 ปีเต็ม จนกระทั่งพบกับความหักเหตอนจะสิ้นปีแรกที่เป็นนักศึกษาเพราะฉันได้เจอเพื่อน เจอสังคมอีกรูปเเบบหนึ่งที่ไม่เคยเจอ ฉันเที่ยวเธคกับเพื่อนเป็นครั้งแรก ฉันดื่มโค๊กเเละมีเเฟน ที่จริงก็คือเพื่อนของเพื่อนคนเเรกของฉัน ผู้ชายคนนี้เป็นคนกรุงเทพฯฐานะดี ซึ่งตรงนี้ทำให้เราต้องเลิกกัน ฐานะเราห่างกันมาก ฉันเลยหันมาทำงานกลางคืน เริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟ เเละช่วงนั้นเป็นช่วงซัมเมอร์ ฉันมีพี่สาวที่รู้จักกันชวนไปทำงานที่ภาคใต้เป็นร้านอาหาร ฉันเป็นพนักงานเสิร์ฟแต่ออกไปข้างนอกกับเเขกได้ซึ่งฉันก็เลือกเเขก เเขกคนเเรกของฉันก็คือ แฟนฉันคนต่อมา แต่ฉันอยู่กับเขาได้ไม่นาน รู้สึกว่าทำงานอยู่ที่ภาคใต้ไม่มีเพื่อนฉันเหงา จึงตัดสินใจกลับขึ้นมากรุงเทพฯ ตั้งใจมาทำงานที่ร้านอาหารเเถวสะพานควาย

ฉันรู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานร้านอาหารแถวสะพานควาย เพราะฉันอ่านจากนิตยสาร ชีวิตจริง ลักษณะงานก็เป็นการนั่งดริ้งเเละรอรับ อ๊อฟ จากแขก ตอนเเรกๆฉันยังไม่ออกไปข้างนอกกับเเขก แต่พอฉันเริ่มชินกับสถานที่ ฉันก็ตัดสินใจอ๊อฟเเขก ที่นี่จะได้ค่าตัวชั่วคราวประมาณ 1,000 บาท ฉันทำอยู่ประมาณ 3 เดือน ฉันหัดดื่มเหล้าเเละรู้จักยาเสพย์ติดเป็นครั้งเเรก ฉันออกจากงานที่นี่เพราะที่อื่นดีกว่า งานใหม่ของฉันอยู่เเถวถนนเพชรบุรี ทำตั้งแต่ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งถึง 6 โมงเช้า หรือเเล้วเเต่ความพอใจของฉันเพราะไม่มีเจ้านาย ช่วงนั้นเศรษฐกิจดีเเละฉันเป็นคนพูดเก่ง ยิ้มเก่ง เลยหาเงินได้เยอะประมาณ 4,000-5,000 บาท ต่อวัน เงินที่หาได้ดิฉันส่งกลับบ้านส่วนหนึ่ง ฉันใช้เงินมือเติบไม่รู้คุณค่าของเงิน ตอนนั้นฉันอายุแค่ 19 ปี เงินที่ได้ส่วนใหญ่หมดไปกับการพนัน ไพ่และยาเสพย์ติด บางวันฉันทำงานได้เงิน 10,000 บาทก็มี ตอนนั้นฉันเริ่มติดเที่ยว เลี้ยงเพื่อน

ในที่สุด ฉันก็ได้พบกับสามีของฉัน (พ่อของลูก) ที่รัชดาซอย 3 หลังจากนั้นเราก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันโดยสามีเปิดห้องเช่าใหม่เเถวถนนสาทร ฉันลืมไปก่อนที่จะไปอยู่กับเเฟนฉันนอนที่โรงเเรมคืนละ 560 บาททุกวัน เมื่อมีแฟนเป็นตัวตนอีกครั้งฉันก็เลิกทุกอย่างเพราะว่าเเฟนฉันไม่ชอบ เเต่ฉันยังทำงานที่เดิม ตอนนั้นรายได้ไม่ค่อยดีตกประมาณวันละ 2,000 บาทซึ่งถือว่าน้อย ฉันเเละแฟนช่วยกันเก็บเงินสร้างบ้านของแฟนได้หนึ่งหลัง ตอนนั้นฉันท้องได้ประมาณ 2 เดือน เเต่ฉันไม่รู้ เเละฉันเดินเรื่องไปประเทศเยอรมันนีโดยคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่นับถือ ฉันจึงไปทำเเท้ง ฉันกับแฟนเสียใจมาก เเต่ก็คิดถึงอนาคต ซึ่งฉันขอเตือนผู้หญิงคนอื่นอย่าทำเเบบฉันเพราะมันบาปจริงๆ เพราะว่าหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ ฉันโดนด่านตรวจบนรถเเท็กซี่ฉันโดนจับในข้อหามีกัญชา 1 ปอนด์ เเละยาอีอีกครึ่งเม็ด เรื่องนี้โดนส่งขึ้นศาลอาญาที่รัชดา โทษรอลงอาญา 2 ปี เเละเสียเงินค่าปรับค่าทนายซึ่งตอนนั้นฉันพอมีเงิน

ฉันยังใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเหมือนเดิม เพราะช่วงนั้นฉันมีปัญหากับเเฟน ฉันกลับมาใช้ชีวิตเเบบเดิมหรือหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ กินเหล้าถึงเช้า งานก็ไม่ทำ เสพย์ยา ฉันเริ่มมีหนี้สินเพราะไปยืมเงินกู้นอกระบบทั้งประเภทรายวัน รายอาทิตย์ และรายเดือน ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 20 เชื่อไหมว่าฉันติดหนี้ต้องใช้หนี้วันละ 2,000 บาท ไหนจะค่ากิน ค่าห้อง ค่าใช้จ่าย จิปาถะ ในที่สุดฉันกับเเฟนก็ต้องเเยกกันอยู่ ต่อมาเเฟนฉันหนีไปบวชซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่าฉันท้องกับเขา เขาบวชได้ 4 เดือนเเล้วจึงกลับมาอยู่ด้วยกันเพื่อลูก ฉันหยุดทำงานกลางคืนตั้งเเต่ตอนท้องได้ 1 เดือน หยุดทุกสิ่งที่ไม่ดีแล้วกลับไปอยู่บ้านกับแม่ที่ฉะเชิงเทรา ฉันอยู่กับเเม่ไม่ต้องทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างเเม่ทำให้หมดจนกระทั่งฉันคลอดลูก ส่วนเรื่องเงินเเฟนฉันก็ส่งให้ตลอด ขอให้บอกว่าต้องการอะไรก็ได้ตามนั้น ทุกคนที่บ้านรักเเฟนฉัน เขาเป็นคนดีมาก

ตั้งเเต่ฉันคลอดลูกมา ฉันรู้สึกว่าความคิดฉันเปลี่ยนไปมาก ฉันเป็นคนคิดยังไงก็พูดอย่างนั้นบางทีก็เหมือนคนก้าวร้าว บางทีก็เหมือนคนอ่อนเเอ รักเพื่อน รักความถูกต้อง ฉันโกหกไม่เก่งนอกจากตอนพูดคุยกับลูกค้า ตัวฉันมีหลายบุคลิกในคนคนเดียวกัน เเล้วเเต่ว่าอยู่กับใครสถานการณ์เเบบไหน ฉันอยู่กับเเฟนกับเเม่ที่บ้าน ฉันก็เป็นเหมือนลูกเเหง่ทำอะไรไม่เป็น เอาเเต่ใจตัวเอง การงานไม่ทำ อยู่ห้องเฉยๆ เเฟนฉันเช่าห้องอยู่เดือนหนึ่งตกประมาณ 17,000-18,000 บาท เป็นอาคารชุดมีชาวต่างชาติอยู่เป็นส่วนมาก เพื่อนบางคนเคยพูดว่าฉันมีเเฟนดูเเล ฉันเลิกกับเขาฉันคงไม่มีปัญญา (ความสามารถ) ที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเองได้สบายอย่างนี้ ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเเฟน ฉันเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถึงเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันก็เพราะลูก ความรักมันไม่เหมือนเดิมเเล้ว เราทะเลาะกันบ่อยครั้ง ฉันก็พูดกับเพื่อนตลอดว่าจะเลิก เเต่ถ้าห่างกันถึงจะเลิกกันได้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ฉันต้องเดินทางมาสิงคโปร์ เเต่ถ้าฉันอยู่กับคนอื่นฉันเหมือนคนเก่งทำอะไรเองหมดทุกอย่าง ไม่ยุ่งเรื่องของใคร ไม่ยืมเงินใคร ไม่ทำให้คนอื่นว่าได้ หาลูกค้าเอง ช่วยเหลือตัวเองตลอด คติประจำใจของฉันก็คือ คนอื่นพึ่งเราได้ เเต่เราอย่าหวังพึ่งคนอื่น

ขายบริการในซ่องกลางป่าที่สิงคโปร์

ชีวิตของฉันสบายมาตลอด ฉันเลี้ยงลูกได้ประมาณ 8 เดือน ฉันก็ย้ายมาอยู่กับเเฟนที่กรุงเทพฯ เราย้ายห้องมาเช่าอยู่เเถวห้วยขวางอย่างหรู เเฟนไม่ต้องการให้ดิฉันทำงานต้องการให้ดิฉันอยู่เลี้ยงลูก เเต่ฉันเบื่อชีวิตอย่างนี้ ฉันอยากเดินทางไปต่างประเทศ ใจฉันเริ่มกล้าที่จะเรียนรู้เเละกล้าที่จะเดินทางคนเดียว เพราะฉันคิดว่ามีอีกหลายอย่างที่ดิฉันยังไม่ได้ทำเเละต้องการจะทำ ฉันอยากจะพูดภาษาอังกฤษเเละภาษาจีนได้ อยากจะไปหลายๆประเทศ ก่อนที่จะไปประเทศใหญ่ๆ ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้า-ออกประเทศเล็กๆก่อน โดยฉันเริ่มต้นที่สิงคโปร์เเละมาเลเซีย ฉันเข้ามาสิงคโปร์โดยคำเเนะนำของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนที่แถวสุขุมวิท ฉันตัดสินใจเดินทางคนเดียวโดยติดต่อกับ เเม่เเท็ค อีกคนที่หาดใหญ่ ฉันนั่งรถบัสจากกรุงเทพฯมาหาดใหญ่ด้วยค่ารถ 980 บาท เเละจะมีร้านคาราโอเกะสำหรับผู้หญิงที่รอเข้าสิงคโปร์ ฉันอยู่ที่หาดใหญ่ 2 คืนได้เเขก 2 รอบ 3,000 บาท

ฉันมีข้อตกลงก่อนเดินทางเข้าสิงคโปร์กับ แม่แท็ค ว่า ถ้าใช้เงินตัวเองมาคือทุกสิ่งทุกอย่าง ค่ารถ ค่าพาสปอร์ต ค่าโรงเเรมที่สิงคโปร์ ค่าอยู่ ค่ากิน เขาจะมีงานให้ทำนั่นคือ ขายบริการทางเพศให้คนงานในป่า เขาจะมีคนดูต้นทางระวังตำรวจ ทำงานในป่ามีที่นอนปิคนิก ไม่มีน้ำล้าง วันหนึ่งรับเเขก 10-20 คน รอบละ 20 เหรียญต่อคน ส่วนมากเป็นพวกอินเดีย บังกลาเทศ แต่แขกพวกนี้จะเสร็จเร็ว รอบหนึ่งใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ฉันทำใจเตรียมรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างก่อนตัดสินใจเดินทางเเล้ว แม่แท็ค มีเงื่อนไขว่า ถ้าใช้เงินตัวเองเป็นค่าใช้จ่าย เขาขอแค่ 50 รอบ (หมายถึงรับแขก 50 คน คิดเป็นเงินประมาณ 1,000 เหรียญสิงคโปร์) แต่ถ้าใช้เงินเขา ออกเป็นค่าใช้จ่ายก่อน ฉันต้องจ่ายคืนให้เขาถึง 100 รอบ (หมายถึงรับแขก 100 คน คิดเป็นเงินประมาณ 2,000 เหรียญสิงคโปร์) ฉันเลือก 50 รอบ เพราะฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ครั้งเเรกเสียค่ารถบัสมาสิงคโปร์ 1,500 บาท ค่าทัวร์ไกด์ 1,000 ทั้งหมดรวมเเล้ว 2,500 บาท พาสปอร์ตของฉันเพิ่งทำใหม่ ไกด์จึงต้องคอยเเนะนำตลอดเส้นทาง

ตอนเดินทางครั้งแรก ฉันตื่นเต้นมาก กลัวว่าจะเข้าประเทศไม่ได้ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ฉันมาเที่ยว ฉันมีเงินโชว์ มาเที่ยวสิงคโปร์เเค่ 2-3 วันก็จะกลับแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ถามคำถามหลายคำถาม ฉันถูกสอบอยู่ที่ด่านประมาณ 3 ชั่วโมงเพราะวันนั้นมีผู้หญิงเดินทางมาพร้อมกันเยอะมาก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันทำงานในป่าตอนเเรกก็อาย เเต่หลังจากนั้นประมาณ 3 วันก็เริ่มชินทีละนิดเพราะฉันเป็นคนปรับตัวเร็ว ในเมื่อฉันตัดสินใจเเล้วว่าฉันจะทำงาน ฉันก็คิดว่าอายทำไม เรามาที่นี่มาเก็บเงินหาเงินให้ได้มากที่สุด จะเลิกขอเงินจากเเฟนเสียที

ครั้งเเรกที่เข้ามาทำงานสิงคโปร์ ฉันทนทำงานได้เเค่ 2 อาทิตย์ใช้เเท็ค 50 รอบ หมดไปภายใน 8 วัน ฉันนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ เพราะมีเงินเหลือประมาณ 10,000 บาทหลังจากหักค่าเครื่องบินและเงินทุนของตัวเองแล้ว ฉันทำงานไม่เที่ยว ไม่ดื่มเบียร์ ไม่สูบบุหรี่ไม่มีผู้ชายมายุ่งเกี่ยวด้วยนอกเวลางาน ฉันใช้จ่ายอย่างประหยัด เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่กลับมาสิงคโปร์อีกเพราะฉันเกลียดที่นี่

ขายบริการแบบส่งถึงห้องที่สิงคโปร์

เเต่พอฉันกลับไปพักที่เมืองไทยได้ 2 อาทิตย์ ฉันก็กลับมาสิงคโปร์อีกเป็นจ้อบที่สอง ที่ฉันรีบกลับเพราะฉันมีปัญหาการเงิน เพราะที่บ้านเป็นหนี้เป็นสิน เเฟนฉันทำงานมา 2 ปีต้องรับภาระคนเดียว มันเลยเป็นดินพอกหางหมู ฉันตั้งใจทำงานเก็บเงิน พอฉันใช้เเท็คแรกหมด 50 รอบ ฉันลองเปลี่ยนที่ทำงานดู ผู้หญิงแม่แท็คคนเดิมเป็นคนชักชวนซื้อใจ ฉันทำงานขายบริการเพราะเงินก็จริง เเต่อีกใจหนึ่งก็คือ อยากลอง อยากเรียนรู้ด้วย ไม่ได้เงินไม่เป็นไร คืออยากลองทำงานหลายๆที่ ที่ไหนดีก็จะกลับมาทำที่นั่น เเต่คราวนี้ ฉันทำงานโดยการนั่งอยู่บนรถฮอนด้า CRV มีผู้หญิงขายบริการประมาณ 4-5 คน นั่งไปด้วยกัน มีคนขับรถพาเราวนไปตามถนนสายต่างๆ ในเมืองสิงคโปร์ รอสัญญาณโทรศัพท์เรียกตัว คือจะมี กะจั๊ว จากโรงเเรมใหญ่ๆโทรมาหาเถ้าเเก่ เเล้วบอกลักษณะของผู้หญิงตามที่ลูกค้าต้องการ ทำงานแบบนี้ต้องเเต่งตัวหรู ค่าตัวเเพงขึ้นเป็นช็อทๆ ละ 80 เหรียญ ถ้าวันนึงได้ซัก 4 รอบ เเล้วเราขอทิปเอาเอง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนรวยต่างชาติ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เถ้าเเก่ไม่จ่ายเงินค่าตัวให้ฉัน ฉันเลยไม่ทำ มันเลยขู่ฉันว่ามันเป็นมาเฟียสิงคโปร์ อย่าให้เจอที่สิงคโปร์อีก อีกอย่างฉันเหนื่อย คิดถึงเเฟน เเล้วก็กลัวด้วย จึงตัดสินใจกลับเมืองไทย รวมเวลาทำงานทั้งหมด 2 อาทิตย์ ฉันพยายามต่อวีช่าเป็น 2 เดือนเเต่อยู่ได้เเค่เดือนครึ่ง พอกลับบ้านไปฉันไม่สบายตั้งหลายวัน งวดนี้ฉันได้เงินประมาณ 70,000 บาท ฉันนั่งเครื่องกลับบ้านเหมือนเดิม

ขายบริการแบบโหดๆ ที่มาเลเซีย

จ้อบที่ 3 ฉันเข้ามาทำงานที่มาเลเซียประมาณ 10 วัน ฉันมีปัญหากับเพื่อน ตอนนี้เพื่อนก็ไม่เหมือนเดิม ฉันไม่เเคร์ใคร เเต่ไม่อยากอยู่เพราะฉันคิดว่าฉันไม่เคยพึ่งใคร มีเเต่เพื่อนมาพึ่งฉันเเล้วก็มีปัญหากันเรื่องเงิน ฉันให้เงินเพื่อนยืมแต่เขาไม่คืน ฉันก็เลยคิดอยากจะเปลี่ยนไปทำงานที่มาเลเซียดูบ้างโดยคิดว่า ถ้าเงินดีฉันจะเข้าออกทำงานที่สิงคโปร์-มาเลย์เป็นหลัก เเม่เเท็คของฉันแนะนำให้รู้จักกับเเม่แท็คอีกคนนึง ซื่อ “เเม่ต๋อย” ฉันตกลงไปกับน้องอีก 2 คน โดยเขาไปส่งที่ยะโฮร์บอกว่าใช้เเท็ค 70 คน ตั้งค่าตัวไว้สูงถึง 508 ริงกิตมาเลย์ ที่ฉันมีปัญหากับเพื่อนเรื่องทำเด็กเเท็คด้วยกัน เเต่ฉันทำเเบบพี่น้อง ฉันขาดทุนรวมทั้งฉันให้เพื่อนยืมเงิน เป็นเงินที่ฉันหาได้จากจ๊อบที่ 2 ฉันตั้งใจจะส่งไปใช้หนี้ให้เเฟน แต่เพื่อนยืมทำเด็กเเท็ค ใครว่าทำเด็กได้เงินไม่มีทางขาดทุน ฉันนี่เเหละขาดทุนมาเเล้ว เพราะค่าใช้จ่ายสูงต้อง ต้องคิดมากเพราะรายได้ต้องหารสอง ทำให้ฉันกับเพื่อนมีปัญหากัน เด็กแท็คบางคนใกล้ถึงเวลากลับบ้านยังไม่ได้เงินฉันก็ไม่เอาค่าเเท็ค การทำเด็กเเท็คคือต้องเห็นใจกันทั้งสองฝ่าย เด็กก็ต้องเอาจากเเขก ส่วนเเม่เเท็คก็ต้องเห็นใจกันไม่ใช่เอาเเต่รายได้ของตัวเอง จากประสบการณ์ฉันถึงรู้ว่ามันไม่ได้เงินง่ายๆ อย่างที่คิด เช่น อาจต้องเจอสถานการณ์ที่ไม่มีเเขก รายจ่ายสูง ค่าอาหารการกิน ค่าที่พัก ฯลฯ ฉันเลยขาดทุนเเละมีปัญหากับเพื่อน ฉันเลยคิดว่าน่าจะหาช่องทางอื่นนอกจากสิงคโปร์ นั่นก็คือ มาเลเซีย

ฉันต้องไปดูสถานที่ด้วยตนเองว่าดีหรือเปล่า คือถ้าไม่ดีฉันก็ต้องพิสูจน์เอง ถ้าไม่ดีฉันก็จะไม่ส่งเด็กไป ฉันรู้จักกับผู้หญิงที่ทำเเท็คเด็กเเนะนำไป ฉันจึงตัดสินใจไปกับน้องที่รักฉันเเละนับถือฉัน โดยตกลงกันคือให้ค่าหัวคนละ 35,000 บาท เขาเอาค่าพามาและค่ารถคนละ 5,000 บาท ค่ารถของเขาอีกต่างหาก ถ้าทำไม่ได้เขาจะคืนเงินอาเฮียเเล้วพวกฉันสามารถกลับได้ เเต่ที่นี่ล็อคบ้านมีรถขับส่งมีโรงเเรมของเขาเอง คือจะออกข้างนอกไม่ได้ ต้องทำงาน 6 โมงเย็น 6 โมงเช้า เขาเรียกเเขกเเพง เเต่เงินตกถึงเราเเค่ 508 ข้างล่างจะเป็นเหมือนผับไฮโซ เเต่ข้างบนเป็นห้องอัพยา มีเพลงอัพ มีโซฟาสำหรับเซอร์วิสเเขก คือต้องมีบริการทุกอย่างอาจจะมี ผู้ชาย-หญิง ประมาณ 5-6 คู่ เเล้วจะมีไฟที่เอาไว้เปิดปิดต้องถอดเสื้อบางทีก็ถอดกางเกง ต้องสโม้ค (ไอศครีม) เเขกควักล้วงยังไงก็ได้ เราต้องทำให้เเขกพอใจ เพื่อจะพาแขกเข้าห้องให้ได้ เเล้วเขาจะปิดไฟในห้องซึ่งไม่มืดมากนัก เขาจะปล่อยเวลาผ่านไป 20 นาที แล้วจะถามว่าเเขกเอาไหม ถ้าครั้งเเรกไม่เอาก็จะมีครั้งที่สอง คือปิดไฟเหมือนเดิมเเล้ว เซอร์วิสให้เขาประมาณ 3 ครั้ง ถ้าเเขกไม่เอาก็ต้องเปลี่ยนห้อง เป็นอย่างนี้จนถึงเช้า เเขกเลือกมาก เเล้วที่นี่ใช้ภาษาจีนกัน ฉันพูดไม่ได้ก็เป็นปัญหา เวลาไปทำงานฉันก็ออกไปไหนไม่ได้

ถึงเเม้จะผ่านอะไรมาเยอะ แต่ฉันก็รับสภาพไม่ได้ ฉันกับน้องคนนี้กอดคอกันร้องไห้ทุกวัน ส่วนเงินที่เขาจะให้เรา 30,000 บาท ก็ได้ไม่ครบ เราต้องหาเงินของเราเองมาไถ่ตัวเราเองถึงจะออกจากซ่องนรกนี้ได้ มันไม่เป็นตามที่ตกลงกันไว้ ที่ทำงานไม่ใช่อย่างที่บอกเรา เท่ากับว่าเราต้องทำงานฟรี ฉันจึงคิดหนีโดยฉันบอกอาเฮียว่าให้น้องที่มาด้วยกลับเมืองไทย ฉันจะทำงานที่นี่รับใช้หนี้เเทน ให้น้องกลับไปหาเงินที่เมืองไทย เอาเงินฉันเป็นเงินประกันเเทน ฉันคิดว่าถ้ากอดคอกันอยู่ตายทั้งคู่เเน่ๆ ตัวฉันก็ผ่านอะไรมาเยอะน่าจะอยู่ได้ หลังจากนั้นเหมือนฉันต้องดำเนินชีวิตคนเดียวมันหดหู่มาก ฉันอยากจะฆ่าตัวตายทุกวัน เเต่เพราะคิดถึงลูก เเม่ และครอบครัวทางบ้าน ทำให้ฉันต้องมีชีวิตอยู่ต่อสู้ต่อไป

ลืมบอกไปว่า ที่นี่ผู้หญิงขายบริการส่วนมากจะเป็นพวกชาวเขาอายุระหว่าง 14-18 ปี ฉันเองก็ทึ่งที่เขาใจกล้า เด็กที่นี่สวย ผิวขาว พูดภาษาจีนได้ ส่วนมากถือพาสปอร์ตประเทศไทยแต่เป็นพาสปอร์ตปลอม พ่อเเม่เด็กจะเอาเงินไปก่อนอาจจะ 50,000-60,000 บาท เเล้วเด็กต้องมาทำงานใช้หนี้ ซึ่งกว่าจะหมดพ่อเเม่ก็เบิกเงินไปอีก คนอยู่นานก็ชาชินไป คนมาใหม่ก็ร้องไห้ไปเพราะทำอะไรไม่ได้ไม่มีพาสปอร์ต ผิดกับฉันมีพาสปอร์ตของจริง ตอนที่ฉันอยู่คนเดียวฉันต้องเล่นยาเกือบทุกวัน (ยาสอด) เพราะต้องอาศัยความกล้า ถ้าไม่ใช้ยาฉันทำงานไม่ได้ ฉันมีช่องทางที่จะหนีได้หลายครั้ง เเต่ฉันยังไม่หนีเพราะอาเฮียเจ้าของบ้านดีกับฉันมากกว่าใคร รักฉัน อาเฮียคือคนที่จ่ายเงินให้กับแม่ต๋อย เเต่คนที่โกหกเขาคือเเม่ต๋อยต่างหาก ฉันอดทนทำงานให้เขาประมาณ 30 กว่ารอบ โดยอาศัยเงินทิปเป็นค่าอยู่ค่ากิน วันสิ้นสุดก็มาถึง ฉันจ้างลูกค้าของเพื่อนมาบุ๊คตัวออกไปค้างคืนข้างนอก ฉันใช้เงินของตัวเองเเล้วก็จ่ายเป็นค่าจ้างอีก

ฉันเป็นคนช่างสังเกตหัวไว ฉันจะคิดเสมอว่า ถ้าทำอะไรลงไปผลที่ตามมามันคุ้มหรือเปล่า คนที่รู้จักฉันชอบชมว่าฉันฉลาดรู้จักเอาตัวรอด เเต่ฉันไม่เคยเอาเปรียบใคร ฉันคิดว่าทำงานให้ 30 กว่ารอบนั้นพอเเล้วสำหรับความดีของอาเฮีย คืนนั้นฉันบุ๊คเเล้วหนีกับเพื่อนอีกคนฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันหนี ฉันวิ่งออกมาสวนกับรถโรงเเรมหัวใจฉันเเทบหยุดเต้นเเต่โชคดีเขาไม่เห็นฉัน เเล้วฉันก็นั่งเเท็กซี่ไปพักที่โรงเเรมเเถวไหนฉันลืมไปแล้ว พักที่นั่น 2 คืน จ่ายค่าโรงเเรมและค่ากินบ้าง ฉันมีเสื้อผ้ามาชุดเดียวกับรองเท้า 1 คู่ ฉันใส่อยู่ 3 วัน กลัวก็กลัว โรงเเรมก็สกปรกเงินก็หมด ฉันโทรให้คนรู้จักที่เมืองไทยสอบถามเรื่องรถเข้าสิงคโปร์ นัดเจอกันตรงที่จอดรถทัวร์ ตรงที่รถทัวร์จอดกินข้าวก่อนเข้าสิงคโปร์แถวร้านอาหารคิมหอง ตอนนั้นเงินก็หมด หิวก็หิว ฉันต้องเดินกับเพื่อนจากโรงเเรมไปที่สถานีรถทัวร์ประมาณ 4 ทุ่ม ตอนนั้นถือว่าดึกเเล้ว วัยรุ่นมาเลย์ขับรถเเล่นเยอะมาก ตามทางก็มืด ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าโดนข่มขืนจะทำยังไง เเต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันคิดจะเข้ามาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งที่สิงคโปร์ ฉันทำอยู่ประมาณ 10 วัน เเขกก็ไม่ค่อยมี ฉันไม่สบายด้วยเลยกลับไปพักที่หาดใหญ่ประมาณ 1 อาทิตย์

กลับมาสิงคโปร์ (อีกครั้ง) ในฐานะแม่แท็ค

ฉันกลับเข้ามาเป็นครั้งที่ 4 ครั้งนี้ฉันเริ่มมีเเฟนจริงๆ จากจ๊อบที่ 3 เเฟนฉันเป็นผู้หญิง (ทอมบอย) เป็นคนสิงคโปร์ฉันรักเขามาก ฉันเลิกกับเเฟนที่เมืองไทยเพราะเราห่างกัน ฉันมาพักที่ Hawaii Hotel เหมือนเดิมทำงานที่เดิมเเต่เเขกไม่มีฉันเลยย้ายไปทำที่ Woodlands ซอย 4 ฉันต้องจ่ายค่าห้องวันละ 30 เหรียญ ค่ารถค่ากินซึ่งตอนนี้ฉันเริ่มติดเที่ยวติดเหล้าหัดสูบบุหรี่ ฉันทำที่ Woodlands ซอย 4 ประมาณ 3 วันฉันก็โดนจับ ที่ฉันทำเเท็คเด็กไม่ไช่เพราะว่าเงินอย่างเดียว เพราะฉันคิดว่าฉันช่วยเหลือคนอื่นด้วย ฉันทำเฉพาะกับเพื่อนฉันเเค่ครั้งเดียว ฉันคิดว่าในเมื่อตัวเขาเลือกที่จะทำงานอย่างนี้ เขามาทำงานกับฉัน ฉันดูเเลดีมีที่ทำงานให้อยู่เเบบพี่น้อง ไม่เอาเปรียบกัน แม่แท็คคนอื่นเอาค่าเเท็ค 150-200 รอบ/คน พอหมดแท็คก็ให้ไปที่อื่น ไม่ให้ทำงานต่อ การเอาเด็กใหม่เข้ามาดูเเลบางคนก็ไม่ดี ฉันเห็นมาเยอะมีเเต่คนเห็นเเก่ตัว ฉันอยากเรียนรู้การทำงานของเเม่เเท็ค เด็กบางคนก็ชอบในความฉลาดและความรับผิดชอบของฉัน เเต่ว่าเราขาดทุน เเต่ว่าฉันไม่สนใจเพราะฉันถือว่าเป็นการลงทุนซื้อประสบการณ์ซื้อความรู้ ที่สำคัญ ฉันก็ไม่อยากจะเก็บเอามาคิดให้ปวดหัว เพราะฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่ “ทำแท็ค” อีก ฉันไม่อยากจะรับผิดชอบชีวิตใครอีก แต่ละคนล้วนแต่มากเรื่องมากปัญหา

จ้อบครั้งที่ 4 กับคืนแห่งชะตากรรม

ฉันได้เข้ามาทำงานขายบริการในสิงคโปร์รวมทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเข้ามาวันที่ 17 ธันวาคม 2551 ฉันต้องออกนอกประเทศภายในวันที่ 15 มกราคม 2552 วีซ่าสิงคโปร์อนุญาตให้ฉันอยู่ได้ 1 เดือน ฉันเข้าประเทศในฐานะนักท่องเที่ยว เเต่ฉันเข้ามาค้าประเวณีที่สิงคโปร์ เพื่อนฉันก็ทำกันแบบนี้หลายคน ฉันรู้ดีว่า หากวันหนึ่งฉันโดนตำรวจจับ ฉันจะต้องโดนขังคุกไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นจะโดนส่งตัวกลับประเทศไทย แล้วพาสปอร์ตก็จะโดน “จ้อบตาย” (หมายถึง ชื่อและหมายเลขพาสปอร์ตของบุคคลนั้นจะถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขึ้นทะเบียนห้ามเดินทางเข้าประเทศ) นานพอสมควร อาจจะถึง 3 ปีหรือมากกว่านั้น

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2552 เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า ฉันกำลังทำงานอยู่ที่ Woodlands ซอย 4 ฉันได้ยินเพื่อนตะโกนว่า “โปลิสมา” ตอนนั้นฉันกำลังรับลูกค้าคนที่ 4 อยู่ ลูกค้าเป็นคนงานอินเดีย ตอนนั้นลูกค้ายังไม่เสร็จธุระแล้วก็เกินเวลาแล้ว (ส่วนใหญ่ฉันให้เวลาลูกค้า 10-20 นาที) ฉันบอกให้เขาหยุดเเละใส่เสื้อผ้า พอใส่กางเกงเสร็จฉันก็ออกวิ่งไปทางป่าขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งพอมีทางวิ่งอยู่ วิ่งได้ซักพักฉันล้มเพราะทางมันลำบากบวกกับตัวฉันเองเหนื่อยมาก ฉันลุกขึ้นมาได้ ฉันจึงตัดสินใจหาที่ซ่อน ในตอนนั้นฉันคิดว่าเป็นตำรวจธรรมดามากันไม่กี่คน เเต่ความจริงไม่ใช่ เพราะตอนฉันซ่อนอยู่ฉันได้ยินเสียงของคนเยอะเเยะ เเล้วมีเเสงไฟจากไฟฉายดวงใหญ่ส่องเข้ามาตามทางที่ฉันวิ่งเเละส่องมาที่ฉันหลบ มีผู้ชายคนหนึ่งในชุดทหารเดินเข้ามาหาฉัน ในตอนนั้นฉันกลัวมากเเละในใจก็คิดว่า นี่คงเป็น “คอมมานโด” ตามที่เคยได้ยินแน่ๆ เขาจับฉันเเล้วถามฉันว่า “Where your friends? ฉันตอบว่า “I don’t no. I runing!” เขายังใช้ไฟฉายส่องหาเพื่อนฉัน

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ทหารคนที่สองเดินเข้ามาหาฉัน ทหารคนเเรกส่งฉันให้เพื่อนเขา ซึ่งฉันเข้าใจว่าให้เอาฉันออกไปข้างนอก เเล้วเขาพูดภาษาจีนกันนิดหน่อย พอฉันอยู่กับทหารคนที่สอง เขาจูงฉันออกมานิดหน่อยเเละเเสดงกิริยาเเปลกๆ ฉันจึงพูดว่า “I don’t want to go” หลังจากนั้นเขาลวนลามฉันโดยจับหน้าอกเเละดึงกางเกงฉันลง ตอนนั้นฉันรู้เเล้วเขาต้องการอะไร ฉันยอมทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่ฉันคิด เขาถามฉันว่า “U want go police station or u want fuck me. I fast fast”. ตอนนั้นฉันยังไม่เเน่ใจกลัวเขาโกหกจึงลังเลตอบกลับไปว่า “I want go police station”. พอเดินไปสักพัก ฉันจึงเปลี่ยนใจถามเขาว่า “U fuck me. U no lock me go police station. Sure”. เขาตอบว่าชัวร์ ฉันถามว่า “no have people.” เขาตอบว่า “no” เขาก็รีบร้อนกลัวคนเห็น ฉันก็กลัวเเละตกใจคิดว่าขอให้ไม่โดนจับก็พอจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งเขาจะมีเซ็กส์ตรงนั้น ฉันเลย พูดว่า “inside inside” เขามีเซ็กส์กับฉันในท่ายืนโดยเขาอยู่ข้างหลัง เขาใช้มือผลักหลังฉันลงนิดหน่อยด้วยความรีบร้อนเเละดึงกางเกงฉันลง ส่วนตัวเขาไม่ได้ถอดกางเกงอวัยวะเพศของเขาอยู่เเถวๆ ปากช่องคลอดของฉัน เเละภายใน 1-2 นาทีเขาก็เสร็จโดยน้ำของเขาได้เลอะขาสองข้างของฉัน จากนั้นฉันก็ดึงกางเกงขึ้นด้วยความรีบร้อน เขาเหมือนต้องการอีกโดยพูดว่าเเบ็คไซด์ (backside) ฉันเลยทำมือลักษณะบอกว่า U go out side. U come back I stay here” โดยคิดว่าจะหลบตรงนั้น ซึ่งเขาก็รีบออกไป เเล้วฉันก็หลบอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร จนกระทั่งมีไฟฉายส่องมาทางที่ฉันหลบอยู่เเละมีทหารเดินมาหาฉัน 1 คน เเละเรียกฉันออกมาข้างนอกโดยพูดว่า “Come here outside” หลังจากนั้นมีเพื่อนเขาตามติดๆ คือคนที่ 2 เเละคนที่ 3 ตามมา คนที่ 3 คือคนที่มีเซ็กส์กับฉัน ฉันจำเขาได้ เขาเดินเข้ามาโดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเเล้วพูดภาษาจีนกันนิดหน่อย โดยคนที่ 3 เดินออกไปก่อนเเล้วคนที่ 2 เดินตามออกไป ตอนนั้นฉันมองเขาด้วยหางตา ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับฉันเเละเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ด้วย ทหารคนที่จับฉันล็อคแขนฉันด้วยสายเคเบิ้ล ทหารคนนี้ใจดี ฉันบอกเขาว่า “I can change shirt? My shirt outside. I don’t have shoes” ซึ่งหมายความว่า ฉันสามารถเปลี่ยนเสื้อได้ไหม ฉันไม่มีรองเท้าเเละ “My telephone not here” โดยทำกิริยาท่าทางชี้ออกมาข้างนอก เขาก็พาฉันมาหาของข้างนอก

ฉันเจอรองเท้าเจอเสื้อเเต่ไม่เจอโทรศัพท์เเต่หลังจากนั้นฉันได้โทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ทหารพาฉันมาส่งที่รถตู้ ฉันโดนมัดเอามือไขว้หลัง หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่พาฉันมาที่สถานีตำรวจจูร่ง ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับตำรวจเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ เเต่ฉันถามผู้หญิงที่อยู่บนรถว่ามีใครโดนเอาเหมือนฉันไหม ซึ่งฉันคิดว่าจะเป็นเหมือนกันเเต่ไม่มี ผู้หญิงไทยเหล่านั้นบอกให้ฉันไม่ต้องพูดอะไร จนเจ้าหน้าที่พาฉันมาพบกับล่ามคนไทยซึ่งเป็นผู้หญิง ฉันคุยกับเขาเเล้วรู้สึกสบายใจ ฉันจึงเล่าให้พี่เขาฟัง พี่เขาจึงเเนะนำให้ฉันพูดให้ตำรวจฟัง ซึ่งฉันก็เล่าตามความเป็นจริง หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของ CPIB (Corruption Practices Investigation Bureau) ฉันมาที่ออฟฟิศ CPIB รอเช็คร่างกายสอบปากคำ ซึ่งตอนนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 2 วันเเล้ว เเต่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ ทหารคนนั้นไม่ได้ใส่คอนดอมกับฉัน ฉันเอาหลักฐาน คือเสื้อผูกคอเปิดหลัง กางเกงขาสั้นผ้ายืดส่งพิสูจน์หลักฐาน เขาให้ฉันชี้ตัวทหารคนที่จับฉัน คนมีเซ็กส์กับฉัน โดยถามฉันว่าฉันต้องการเเบบไหน ฉันตอบว่าฉันต้องการให้ฉันเห็นเขาฝ่ายเดียว ฉันชี้ตัวทหารไปประมาณ 70 คน ฉันคิดว่าฉันจำคนที่จับฉันเเละคนที่มีเซ็กซ์กับฉันได้

พอฉันชี้ตัวไปเเล้วเขาจึงพาฉันมาส่งที่บ้านพักฉุกเฉิน HOME ที่ Katong Road ที่นี่มีกฎระเบียบ เเต่วันอาทิตย์ฉันสามารถออกไปข้างนอกได้ตั้งเเต่ 10 โมงเช้า - 6 โมงเย็น เปิดโทรศัพท์ได้เฉพาะหลัง 6 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม ของทุกวัน วันอาทิตย์จ่ายค่าโทรศัพท์ 28 เหรียญ ค่าออกไปข้างนอก 28 เหรียญ ที่นี่มีอาหารให้ทาน 3 เวลา ทุกวัน 10 โมงเช้า - 12 เที่ยง จะมีเรียนคอมพิวเตอร์เเละหลังจากทานอาหารเสร็จของทุกมื้อจะมีเวรผลัดกันทำความสะอาดที่พัก ประมาณบ่าย 2 จะต้องออกไปข้างนอกเพื่อเรียนทำขนม โดยมีรถบัสมารับ ส่วนมากผู้หญิงที่นี่จะเป็นคนฟิลิปปินส์และอินโดนีเชีย เเต่ก็มีคนอินเดีย คนพม่า เเละคนไทยปะปนอยู่ ฉันเป็นไทยคนเดียว ฉันพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ซึ่งฉันได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ที่นี่ดูเเลกันดีมาก เพื่อนๆ ส่วนใหญใจดี ซิสเตอร์คนดูแลพวกเราก็ใจดี

ฉันลืมเล่าไป ก่อนที่จะถูกส่งตัวมาที่บ้านพักฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ได้พาฉันไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คร่างกาย มือของฉันจะโดนล็อคตลอดเวลาด้วยสายพลาสติก ซึ่งฉันอายมาก เขาส่งตัวฉันไปเช็คที่โรงพยาบาล National University Hospital, 5 Lower Kent Ridge Singapore 119074 Tel: 67725181 เจ้าหน้าที่เอาเส้นผม ขนอวัยวะเพศเเล้วเอาสำลีคล้าย “คอทเติ้ลบัท” ใช้จิ้มคราบอสุจิใส่ถุงไปตรวจด้วย เขาถามคำถามอีกมากมาย

ฉันกลับมานั่งทบทวนดูว่า ทำไมฉันจึงพูดเรื่องที่ฉันยอมมีเซ็กส์กับทหารคนนั้นกับตำรวจ ซึ่งเขาถือว่าเป็นเรื่องเสียหายใหญ่โตมากเพราะเป็นความผิดฐานคอรัปชั่นของเจ้าพนักงานในระหว่างปฎิบัติหน้าที่ แทนที่ฉันจะถูกปรับหรือขังคุกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ฉันอาจต้องอยู่สิงคโปร์อีกนานเพราะเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีกับทหารคนนั้น รวมทั้งฉันก็อาจต้องถูกดำเนินคดีด้วยในฐานะคู่กรณี ฉันมีเหตุผล 6 ข้อที่ฉันเชื่อว่า การที่ฉันตัดสินใจพูดความจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าละอายหรือเสียหาย เหตุผลดังกล่าว ได้แก่

1. เวลาฉันทำงานรับแขกทั่วไป ฉันจะบังคับให้แขกใส่คอนดอมทุกครั้ง แต่กรณีนี้เขามีเซ็กส์กับฉันโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย ฉันจึงคิดว่ามีหลักฐานจากคราบอสุจิของเขา

2. เพื่อความถูกต้อง ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้กับฉันที่สิงคโปร์ ซึ่งฉันรู้ว่ากฎหมายสิงคโปร์ค่อนข้างเเรง

3. ฉันคิดว่าฉันจำหน้าทหารคนนั้นได้

4. ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะใช้เวลานาน เดี๋ยวฉันก็ได้กลับเมืองไทยหลังจากคดีสิ้นสุดลง

5. ฉันคิดว่าฉันทำเพื่อผู้หญิงคนอื่นที่อาจตกเป็นเหยื่อการใช้อำนาจมิชอบของเจ้าหน้าที่ในอนาคตด้วย ฉันโกรธและเกลียดทหารคนนั้น

6. ฉันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่โทษร้ายเเรง เป็นเรื่องธรรมดาน่าจะโดนจำคุกไม่เกิน 2 ปี ฉันคิดว่า การค้าประเวณีไม่ผิดกฎหมายสำหรับฉัน

ตอนฉันโดนสอบปากคำเพิ่มเติมที่สำนักงานของ CPIB เจ้าหน้าที่ถามฉันว่า รู้ไหมผลตรวจ DNA ระบุว่ามีเชื้ออสุจิของผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร” ฉันตอบว่ากางเกงตัวนั้นฉันใส่ 2 วันแล้ว ซึ่งวันเเรก

คือวันอาทิตย์ เพื่อนให้ยืมได้เเขก 17 รอบ คืนนั้นฉันมีปัญหากับลูกค้าไชน่า คือเขาพยายามถอดถุงเเต่ฉันเห็นซึ่งน้ำของเขากระเด็นมาถูกที่นอนเเละกางเกงของฉันอยู่เเถวนั้น อีกกรณีก็คือ เวลาฉันทำงานถุงคอนดอมที่ใช้เสร็จ เเล้วจะวางอยู่ใกล้ๆ กับที่ฉันมีเซ็กส์กับลูกค้าจึงอาจจะไหลซึมมาติดที่กางเกงฉันก็เป็นได้

รู้ไหมว่าทำอย่างนี้ (ยอมมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่) มันผิดกฎหมาย ซึ่งเหมือนกับเป็นการให้สินบนเจ้าพนักงานฉันตอบว่าไม่รู้เพราะถ้ารู้คงไม่เอาเรื่องทั้งหมดมาบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแน่ ยุ่งยากจะตาย เเล้วฉันก็ข้องใจว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์กรณีนี้กับผู้หญิงไทย ที่ทำงานอย่างพวกฉัน ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นฉันคิดว่าเขาก็ต้องทำเเบบฉัน คือจะไม่ให้พวกเราพูดสิ่งที่เกิดขึ้นเลยหรือ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ของ CPIB บอกกับฉันกำลังตรวจสอบหลักฐานเพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมมีโทษหนัก ถ้าหลักฐานมัดตัวเขาก็ต้องรอส่งตัวขึ้นศาลพิจารณาคดี เเต่ถ้าฉันชี้ผิดตัวเเล้วฉันจะเป็นยังไง เจ้าหน้าที่บอกฉันห้ามพูดโกหก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดต้องเป็นความจริง เอาฉันเข้าเครื่องจับเท็จก็ได้

ตอนนี้ฉันมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเข้ามาช่วย ทำให้ความกลัวของฉันลดลงมาก เพราะฉันก็เหมือนกับคนต่างด้าวเข้ามาแอบทำงานในประเทศเขา ตอนนี้ฉันรู้เเต่ว่าฉันต้องรอ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของสิงคโปร์ ตอนนี้ฉันอยากกลับเมืองไทยมาก ฉันเคยรักสิงคโปร์เเต่ตอนนี้ฉันอยากออกไป เเละไม่อยากกลับเข้ามาประเทศนี้อีก ฉันไม่รู้ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เเต่ถ้าผลมันร้ายเเรงเกินจะรับได้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ ทำไมตำรวจต้องคิดว่าฉันโกหกในเมื่อการโกหกไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น มีเเต่จะทำให้สิ่งต่างๆ เเย่ลงด้วยซ้ำ พาสปอร์ตก็โดนจ๊อบตายเหมือนเดิม ถ้าฉันปล่อยให้เรื่องผ่านไปเลยตามเลย โดนไม่พูดจะไม่ดีกว่าเหรอ ฉันจะได้ไม่ต้องทนกับกฎระเบียบทรมานอย่างนี้ ไม่ต้องสูญเสียอิสรภาพ อย่างมากก็เเค่โดนส่งตัวกลับเมืองไทย

ฉันขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ช่วยฉันในเรื่องนี้ ฉันจะไม่ลืมพระคุณเลย เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยทั้งในประเทศไทยเเละสิงคโปร์

บทเรียนราคาแพง

ตอนฉันเข้ามาสิงคโปร์ ฉันไม่คิดว่าตัวเองถูกหลอกเพราะฉันเจอเเม่เเท็คที่เป็นคนดี ทำงานขายบริการตามพันธสัญญา (เเท็ค) เเค่นี้มันน้อยไปสำหรับฉัน ทำงานรับแขกให้ได้ 100 คนจากนั้นก็หักค่าใช้จ่าย ค่าที่พัก ค่าอยู่ค่ากินเเล้ว ก็ได้เงินเหลือนิดหน่อย ฉันขอเตือนน้องๆ ว่าถ้าคิดจะมาทำงานขายบริการที่สิงคโปร์ต้องหาเเม่เเท็คดีๆ คนเราไม่โชคดีเหมือนกันหมดทุกคน ฉันทำงานด้านนี้มีการพนัน เหล้า ผู้ชาย และยาเสพย์ติดเข้ามาเกี่ยวข้อง หาเงินได้ง่ายแต่ก็จ่ายออกง่ายเหมือนกัน เราต้องรู้จักเก็บเงินเองไว้บ้าง ตอนฉันทำงานกับคนไทยแม้เงินรายได้ดีก็ตาม เเต่ฉันก็เคยโดนลูกค้าหลอกไปข่มขืน ฉันคิดว่าจะตายเสียเเเล้ว ฉันตกอยู่ในเหตุการณ์เหมือนในโทรทัศน์เลย เขาเอามีดจี้คอฉัน จิกหัวเเล้วก็เอา (มีเซ็กส์) เอาไฟเเช็คที่ร้อนจี้ตัวด้วย ฉันขอเขาให้ปล่อยออกมา เขาก็ไม่ปล่อยโดยพูดว่าจะฆ่าฉันทิ้งโดยมีเพื่อนเขาอีก 4 คนรออยู่ข้างนอกซึ่งเป็นลานกว้างถือมีดขวางอยู่ดูฉัน ตัวเขาก็คุยโทรศัพท์ซึ่งตอนนี้ถึงฉันจะกลัวเเค่ไหนฉันก็ต้องใช้สายตาสอดส่องดูช่องทางวิ่งโดยไม่ให้มันรู้ตัว ใช้สมองคิดด้วย เเค่ฉันกระตุกกระติกมันก็ใช้มีดทุบแล้ว ฉันเริ่มคิดได้ ถ้าเราเอาแต่กลัว เอาแต่ร้องไห้ มันช่วยอะไรเราไม่ได้ ฉันตัดสินใจวิ่งตามที่คิด ในที่สุดก็รอดออกมาได้ ถ้าฉันเอาแต่ร้องไห้ป่านนี้ฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้

ในชีวิตฉันได้ผ่านเหตุการณ์น่ากลัวมามาก อย่างตอนอยู่มาเลเซีย ฉันจะมามัวเเต่นั่งร้องไห้ก็ไม่ได้ ฉันต้องคิดทุกวันว่าจะหนีออกไปได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ทำอย่างไรจึงจะเสียเงินน้อยที่สุด ตอนหนีมาถึงด่านมาเลย์เข้าสิงคโปร์ เชื่อไหมว่าคนชื่อ “เเม่ต๋อย” ที่เอาฉันมาส่งมาเลย์เอาเด็กมาส่งเหมือนตอนที่เอาฉันมาส่งนั่งรถบัสมาคันเดียวกัน แต่ฉันก็รอดมาหวุดหวิด ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นมีทั้งเรื่องดีเเละไม่ดี เราต้องรู้จักสรุปบทเรียน เลือกส่วนดีส่วนที่เป็นประโยชน์แล้วเก็บไว้เป็นประสบการณ์ เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะทำให้เราเเข้มเเข็ง เพรา อดีตที่ผ่านมามันก็คืออาจารย์ที่สอนเราเราจะต้องเข้มแข็งและรอบคอบมากขึ้นในอนาคต

บางเรื่องที่ไม่ดีถ้ามันกระทบคนอื่นฉันก็จะไม่ทำ เราทุกคนเลือกได้ ฉันผ่านงานมาเยอะมากผ่านชีวิตมาเยอะ ฉันรู้ว่าส่วนมากผู้หญิงกลางคืนจะใช้เงินมือเติบ เล่นยา เล่นการพนัน กินเหล้า เเต่ถ้าตั้งใจเก็บเงินก็จะรวยเร็วเหมือนกัน อย่าหลงไปกับเเสงสี คนที่รักเราที่สุดคือ พ่อ เเม่ คิดถึงท่านให้มากๆ เวลาที่ฉันเจอความทุกข์ฉันเลือกจะเก็บไว้ เเต่เวลาฉันมีความสุข ฉันจะเผื่อเเผ่ให้เเก่คนอื่น ฉันมองโลกในเเง่ดีเสมอ เเต่บางทีก็รู้สึกว่าเหนื่อยมาก... ตอนนี้ชีวิตของฉันต้องสู้คดีให้จบ ฉันบอกตัวเองให้อดทน ฉันอยากรู้เหมือนกันว่า กฎหมายสิงคโปร์จะเป็นอย่างไร ระบบศาลเขาทำงานกันอย่างไร ตอนนี้ฉันศึกษาภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ ฉันอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเหมือนเดิม (นี่คือนิสัยของฉัน) สันดานที่อยากลองสิ่งใหม่ๆ อาจเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เเต่ฉันก็คิดของฉันไปเรื่อยว่า บางทีฉันก็เป็นหนูทดลองยาเพื่อผู้หญิงไทยคนต่อไป คติประจำใจอีกอย่างของฉันก็คือ “ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเจอเเละสัมผัสด้วยตนเอง เราจึงจะเข้าถึงของจริง และได้ความรู้ว่ามันคือความจริง

ตอนนี้ฉันรู้สึกเบื่อชีวิต ฉันเหนื่อย แต่ฉันเตือนตัวเองเสมอว่า ฉันต้องหาเงินเพื่อครอบครัว ฉันเคยคิดไว้ว่าจะหยุดทำงานตอนอายุ 30 ฉันเคยติดผู้ชาย ติดเหล้า ติดเที่ยว ติดยา ติดการพนันเพราะความอยากลอง นิสัยของฉันไม่เคยเปลี่ยน เเต่ฉันไม่เคยขอเงินเเม่เลย มีน้อยครั้งมากที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเพราะฉันคิดว่า ถ้าตัวเองเก่งต้องเอาตัวให้รอด ฉันไม่ชอบให้ใครว่าได้ และฉันก็ไม่ชอบว่าให้ใครเหมือนกัน

ฉันตัดสินใจเขียนประวัติตัวเองเพราะว่าหากฉันต้องติดคุกจริงๆ ฉันจะยอมตายดีกว่า เเล้วเรื่องของฉันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เเต่ตอนนี้ฉันตั้งใจทำคดีของฉันให้จบ เวลาฉันตั้งใจทำอะไรฉันต้องทำให้สำเร็จ ฉันจะรอดูผลของมัน เงินที่ได้จากการทำงานฉันส่งกลับบ้าน ทำบุญก็มากเพราะฉันคิดว่าถึงเราจะทำงานสุจริตเเต่ก็ไม่ถูกต้องฉันจึงเอาเงินที่ได้บางส่วนบริจาคช่วยสังคมบ้าง เวลาที่ฉันเห็นชีวิตคนอื่นอย่างเช่น เด็กที่ถูกทิ้งตามบ้านปากเกร็ด หรือสถานสงเคราะห์บางเเค ฉันเคยเอาอาหารไปให้เขา ฉันจะดูชีวิตของเขาเพื่อทำให้ตัวเองเข้มเเข็ง มีแรงกายแรงใจต่อสู้กับปัญหาชีวิตของตัวเองต่อไป ฉันเคยไปเที่ยวบาร์เกย์ (สำหรับผู้ชายเที่ยว) ไปกับเเฟนฉันไปดูชีวิตการทำงานของเขา เขาลำบากกว่าฉันเยอะ ต้องทำอะไรหลายๆอย่าง ต้องโชว์เเขก ฉันเคยไปเที่ยวบาร์โฮส (สำหรับผู้หญิงเที่ยว) ฉันก็จะเอาชีวิตของเขามาเปรียบเทียบกัน ฉันไปเพื่อเรียนรู้การทำงานไม่ใช่เพราะต้องการเซ็กส์ ฉันเก็บเอาภาพชีวิตเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ฉันท้อเเท้ อะไรที่ฉันสามารถทำเพื่อสังคมได้ฉันก็เต็มใจที่จะทำ

รู้ไหมว่าฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองต้องมาทำงานอาชีพนี้ด้วยซ้ำ ภาพลักษณ์ฉันดีมาตลอดเเล้วตัวเองเเอนตี้เรื่องนี้มากเเต่ชีวิตมันเปลี่ยนเเปลงกันได้ตลอด ฉันเกลียดพ่อตัวเองที่ไม่เคยเลี้ยงดูฉัน ฉันเกลียดผู้ชายไม่เคยคิดจะมีเเฟนด้วยซ้ำ ตอนฉันมีเเฟนเเม่ยังตกใจเพราะรู้ว่าฉันเกลียดผู้ชาย ตอนนี้ฉันก็มีเเฟนเป็นทอมเเละฉันคิดว่าฉันจะไม่มีเเฟนเป็นผู้ชายเลยสักราย รู้ไหมว่าชีวิตคนกลางคืนอย่างฉันได้กินอะไรที่ไม่เคยได้กินได้เห็นได้เจอ ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน อันที่จริง ฉันก็ขอบคุณชีวิตกลางคืนที่ทำให้ฉันรู้จักคนมากขึ้นรู้จักโลกมากขึ้น ชีวิตขายบริการเปลี่ยนฉันจากที่เป็นผู้หญิงอ่อนแอให้เข้มแข็ง ทุกวันนี้ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนเเอคนเดิม ฉันพยายามมองโลกนี้ให้น่าอยู่เสมอ ถึงแม้จะมีสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา เเต่ในสิ่งเลวร้ายก็มีสิ่งดีแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันไม่เสียใจที่ ณ ตอนนี้ฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงขายตัว เพราะฉันไม่เคยพึ่งใคร ฉันไม่ทำให้ทางบ้านเดือดร้อน คนที่บ้านคิดว่าฉันทำงานดี ฉันภูมิใจในตัวเอง ฉันรู้ว่าคนเราย้อนกลับแก้ไขอดีตไม่ได้ ฉันคิดเพียงว่าในอนาคตข้างหน้า หรือพรุ่งนี้ ฉันจะทำอะไร อย่างไรเพื่อตัวเองจะได้ทำงานและมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความหวัง

เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้อาจจะน่าเบื่อบ้าง ไม่ตื่นเต้นบ้าง เเต่ฉันรับรองได้ว่าทุกฉากทุกตอนเป็นของจริง เป็นความจริงที่บางเหตุการณ์ได้ทำให้หัวใจฉันเกือบหยุดเต้นมาแล้วเหมือนกัน กรุณาอย่าเปิดเผยชื่อจริงหรือชื่อเล่นของฉัน ฉันหวังว่าเรื่องของฉันจะเป็นประโยชน์เเก่คนอื่นบ้าง ขอบคุณค่ะ

หมายเหตุ: หญิงสาวเจ้าของบันทึกนี้ถูกทางการสิงคโปร์ดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าของรัฐ ลักลอบค้าประเวณี และคอรัปชั่นติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงพฤศจิกายน 2552 เธอถูกกันตัวไว้เป็นพยานในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของสิงคโปร์คนนั้น ขณะเดียวกันก็ตกเป็นจำเลยในข้อหาข้างต้น เธอได้รับความช่วยเหลือจากแผนกกงสุล สถานเอกอัครราชทูตไทยในสิงคโปร์และบ้านพักฉุกเฉินสำหรับแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์ที่เรียกว่า H.O.M.E. (Humanitarian Organization for Migration Economics) ชีวิตในช่วงเวลาร่วม 11 เดือนที่สิงคโปร์ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ในที่สุด ศาลสิงคโปร์ได้ตัดสินยกฟ้องคดีคอรัปชั่นด้วยเหตุผลของมนุษยธรรมและความร่วมมือของเธอที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินคดีของทางการสิงคโปร์ เธอรับโทษแต่เพียงเล็กน้อยโดยต้องจ่ายค่าปรับกรณีบุกรุกพื้นที่ป่าของรัฐและลักลอบค้าประเวณี ซึ่ง H.O.M.E. ให้ความช่วยเหลือจ่ายค่าปรับ 700 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ให้เธอ คืนวันแห่งอิสรภาพที่เธอรอคอยก็มาถึง เธอได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับเมืองไทยไปใช้ชีวิตอยู่กับลูกและครอบครัวของเธอเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ทุกวันนี้เธอทำงานเป็นพนักงานประจำร้านขายยาแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น