Friends of Thai Workers Association

Friends of Thai Workers Association Supported By Office of Thai Labour Affairs in Singapore

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จากฝั่งโขงถึงสิงคโปร์


โดย ชาญยุทธ

ท้องฟ้ามืดสนิทเมฆดำเริ่มจับกลุ่มเป็นก้อนเหมือนบอกว่าฝนกำลังจะตกลงมาสู่พื้นดิน เหมือนเตือนชาวนาว่าได้ย่างเข้าสู่ฤดูกาลทำนาอีกครั้งหนึ่งของชาวนา ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก ชายหนุ่มสามคนกำลังรีบเร่งเดินฝ่าสายฝนกลับหมู่บ้านของตนเอง เสียงของคนอยู่ข้างหลังร้องถามเพื่อนที่เดินอยู่ข้างหน้า " มึงเห็นทางเดินไหมว่ะ มืดขนาดนี้" คนที่อยู่ข้างหน้าคนที่เดินนำเพื่อนพูดขึ้นว่า" ไม่เห็นเลยว่ะ ฝนตกหนักอย่างนี้ต้องอาศัยสายฟ้าแลบบ้างเป็นบางครั้ง ไม่เห็ยก็ต้องไป หรือมึงจะอยู่ที่นี้" เพื่อนอีกคนพูดขึ้นเพราะเมื่อตอนหัวคํ่าชายหนุ่มสามคนไปเที่ยวงานวัดที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ...
รุ่งเช้าฝนยังตกโปรยๆ อยู่ "พวกเอ็งกลับบ้านกันกี่โมกี่ยามว่ะเมื่อคืนนี้" เสียงผู้เป็นพ่อพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงลูกชาย "อีกสามสี่วันพ่อจะพาเอ็งกับน้องไปกรูงเทพฯไปทำพาสปอร์ต พร้อมกับเพื่อนบ้านอีกสามสี่คน"
"
ทำพาสปอร์ตไปทำไมเหรอพ่อ" เสียงผู้เป็นลูกพูดขึ้น
"
พ่ออยากให้เอ็งกับน้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะเอ็งโตเป็นหนุ่มแล้วพ่ออยากให้เอ็งแบ่งเบาภาระบ้าง พ่อได้ปรึกษากับญาติพี่น้องแล้ว"
"
แต่ผมไม่เคยไปทำงานที่ไหนเลยนะพ่อ" ผู้เป็นลูกพูดขึ้นกับพ่อ "เคยแต่ทำนาอยู่กับพ่อ อีกอย่างเราไม่มีเงินเลยจะเอาเงินที่ไหนเป็นค่านายหน้าละพ่อ ไม่ใช่เงินน้อยๆนะ!" เสียงผู้เป็นลูกพูดขึ้น
"
เรื่องเงินนั้นพ่อจะไปใบที่นาเขาแล้วเอามากู้ธนาคารมาให้เอ็งกับบน้อง หนึ่งแสนบาท" ผู้เป็นพ่อตอบ
"
ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่าครับพ่อ พ่อกู้มา 50,000 บาทก่อน ให้ผมไปทำงานก่อน เมื่อผมหาเงินใช้หนี้เรียบร้อยแล้วค่อยให้น้องตามไป เราจะได้ไม่เสียดอกเบี้ยเยอะ เพราะผมก็ยังไม่รู้ว่าการไปทำงานครั้งนี้ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง"
วันที่ 26 มิถุนายน 2536 การเดินทางของผมเริ่มขึ้นที่สถานีรถไฟหนองคาย เวลา 18.00 น. ชายหนุ่มสามคนพร้อมกระเป๋าเดินทางโดยสารรถไฟมุ่งหน้าเข้าเมืองกรุง พวกเราสามคนนั่งรถนอนตามที่บริษัทซื้อตั๋วให้ ปลายทางคือหัวลำโพง พอถึงที่หัวลำโพงก็มีคนมารับไปกินข้าว พอกินข้าวเสร็จก็ส่งพวกเราไปขึ้นรถต่อไปลงที่หาดใหญ่ จากหาดใหญ่ต่อรถเข้าสิงคโปร์ ประมาณตี 4 ก็มาถึงหน้าด่านตรวจเข้าเมืองของสิงคโปร์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ให้ผ่านเพราะไม่มีใบ IPA (in-principle approval letter --บรรณาธิการ) ที่กระทรวงแรงงานสิงคโปร์อนุญาตให้นายจ้างจ้างแรงงานต่างชาติได้ พวกเราต้องรอเอเย่นต์มารับ พอถึง 8โมงเช้าผ่านไปก็ยังไม่มีใครมารับ จนถึงเวลา 9. 00 โมงเช้าเจ้าหน้าที่ก็บอกให้เราออกมารออยู่ที่ข้างนอกด่าน พวกผมต้องหิ้วกระเป๋าเดินย้อนกลับไปรอที่นอกด่านกลางสะพานระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์

พอถึงเวลาประมาณ 9 โมงกว่า เอเย่นต์มารับพร้อมกับใบ IPA แจกให้คนละใบ จึงได้เข้าไปจ้อบพาสปอร์ต พอผ่านด่านเข้ามาแล้วเอเย่นต์บอกกับพวกเราว่า ต้องไปตรวจโรคก่อน แล้วจึงจะพาไปส่งที่พัก พอตรวจโรคเสร็จ เขาก็มาส่งที่พักที่ Outram Park ใกล้ๆ กับ Tangjong Pagar ที่พักเป็นบ้านปูน 2 ชั้น พวกเราเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บและรอคนที่เขามาอยู่ก่อนกลับจากทำงาน เขาให้พวกผมสอบถามรายละเอียดเรื่องงานและความเป็นอยู่จากคนงานเก่าเอาเอง ตกตอนเย็นคนงานเก่าเลิกงานกลับมา พวกเราถามว่า ทำงานอะไรบ้าง คนงานเยอะไหม ที่ทำงานอยู่ที่ไหนไกลไหม คนเก่าบอกว่า พรุ่งนี้เช้าให้ไปขึ้นรถที่ออฟฟิต แล้วเมเนเจอร์จะจ่ายงานเอง ใครได้งานอะไรเดี๋ยวก็รู้เอง
รุ่งเช้าพวกเราขึ้นรถบัสไปกับคนงานเก่าเวลา 9.00 น เมเนเจอร์ก็สั่งให้โฟร์แมนมารับผมไปทำงาน ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันอีก 2 คนก็แยกย้ายกัน คนหนึ่งได้งานที่โรงเหล็ก อีกคนได้ขับรถปูน ส่วนผมนั้นเป็นงานเวิร์คชอป ได้ค่าจ้างเดือนละ 384 เหรียญไม่รวมโอที ทำงานเดือนหนึ่งจะได้รับเงินเดือนประมาณ 700 -780 เหรียญ ตอนนั้นเงินสิงคโปร์ 650 เหรียญแลกเงินไทยได้ประมาณ10,000บาท แต่ละเดือนผมส่งเงินกลับบ้าน ประมาณ 9,000-10,000 บาท แล้วแต่ว่าจะมีเงินค่าโอทีมากหรือน้อย เพื่อนผมสองคนก็มีรายได้พอๆ กัน

ผมพักอยู่ที่ Outram Park ได้ 1 ปี ผมก็มีเรื่องทะเลาะกับคนเก่าที่นั่น เราพักกัน 20 คน ห้องนอนจะเป็นห้องโถงโล่งๆ เตียงนอนสองชั้น สองข้างห้องติดฝาจะเป็นเตียงนอน ส่วนตรงกลางจะเป็นทางเดิน เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า คืนนั้น คนงานเก่าเมาเหล้า เวลาประมาณตี 2 แล้ว พอเข้าห้องมาก็เปิดไฟดื่มเหล้าต่อกับเพื่อนเขาอีก 2 คนรวมกันเป็น 3 คน ดื่มเมามาจากข้างนอกก็หนักแล้ว ยังไม่พอกลับมาถึงห้องก็เปิดไฟดื่มต่ออีก แล้วใครจะนอนหลับได้ พูดจาส่งเสียงดัง ไฟห้องก็ส่องตาคนที่นอนอยู่ คุยกันเสียงดังทำลายรัตติกาลราตรีอันสงบ แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า

"ถ้าจะดื่มเหล้าขอให้ไปดื่มข้างนอกได้ไหม กี่โมงกี่ยามแล้วคนจะนอน"
เสียงขี้เมาตอบขึ้นมาว่า "ดื่มเหล้าแค่นี้ มึงมีปัญหาหรือว่ะ"

ทันใดนั้น ขวดเหล้าใบที่หนึ่งบินข้ามหัวผมไปปะทะกับฝาผนังเสียงดังลั่น พร้อมเศษแก้วกระจายอย่างน่า

กลัว เสียงขวดแตก ขวดที่สองฟาดลงที่ข้างซ้าย ขวดที่สามก็ตามมาที่ข้างขวา

“พลัวะ!” เสียงขวดแตกเพราะถูกฟาดไปปะทะผนังอย่างแรกง

"มึงได้เลย... มึงตายแน่”

สรุปแล้วคืนนั้น ทั้งห้องไม่มีใครได้นอนเลย เพราะต้องทำความสะอาด ทั้งห้องเกลื่อนไปด้วยเศษแก้ว และเลือดกระเด็นเต็มห้อง ไอ้ขี้เมา 3 คนนั้นได้ถูกเพื่อนๆ คนงานช่วยกันจับโยนออกไปข้างนอก

รุ่งเช้าผมไปทำงาน แต่ทางออฟฟิตไม่ให้ผมทำงาน บริษัทสั่งย้ายผมไปอยู่ที่บุนเลย์ ส่วน 3 คนนั้นถูกส่งกลับบ้านหนึ่ง (คนก่อเหตุ) อีกสองคนถูกสั่งให้หยุดงานคนละหนึ่งอาทิตย์และหักเงินค่าเสียหายคนละ 300 เหรียญ

หลังจากที่ผมทำงานอยู่บุนเลย์ได้ 8 เดือน ผมก็ได้รู้จักกับผู้หญิงไทยคนหนึ่ง เธอมาทำงานเป็นแม่บ้านที่
บุนเลย์ได้ 7 ปีแล้ว เธอกำลังจะหมดสัญญาในปีนั้น เธอก็จะกลับบ้านเกิดของเธอที่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ที่ได้รู้จักกันเพราะว่าผมไปซื้อส้มที่ตลาด ตอนแรกผมคิดว่าเธอเป็นคนสิงคโปร์ เธอช่วยนายจ้างขายผลไม้

ผมถามเธอว่า “กิโลละเท่าไหหร่” เธอตอบเป็นภาษาไทยว่า “โลละ 4 เหรียญคะ”
ผมตอบว่า "อ้าว... คนไทยหรือนี้"
"
ใช่คะ" เธอตอบผม ก็เลยรู้จักกันตั้งแต่นั้นมา คนหนองคายเหมือนกัน ดีใจที่ได้เพื่อนเป็นคนบ้านเดียวกัน

แล้ววันหนึ่งเธอมาบอกผมว่า จะกลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว วันที่เธอกลับบ้านผมก็ไม่ได้ไปส่งเธอเพราะผมต้องทำงาน

จากวันนั้นถึงวันนี้ เลาล่วงเลยมา 15 ปีแล้ว ตอนนี้ผมได้ใช้หนี้ทางบ้านหมดแล้ว พ่อผมได้ส่งน้องชายมาทำงานที่นี้อีกคนหนึ่ง น้องได้ทำงานที่บริษัทหนึ่งที่แถว Bedok วันหนึ่งโฟร์แมนบอกผมว่า ทางบริษัทจะส่งผมไปสอบฝีมือกับเพื่อนคนงานอีก 4 คน ไปสอบเอาใบประกาศ ถ้าใครสอบผ่านทางบริษัทจะขึ้นเงินให้อีก 50 เหรียญ
ทางออฟฟิตให้ไปเรียนคนละ 5 วันแล้วไปสอบ ปรากฏว่าสอบกัน 5 คน มีผมคนเดียวที่สอบผ่าน ผมดีใจมาก จากเงินเดือน 384 เหรียญ เขาเพิ่มให้อีก 50 เหรียญเป็น 434 เหรียญต่อเดือน

เวลาผ่านไปอีก 4 ปี เพื่อนที่ทำงานด้วยกันกลับบ้านเกือบหมดแล้ว เหลือผมกับคนใหม่ไม่กี่คน ผมย้ายไปทำงานตามไซท์งานต่างๆ หลายที่ เช่น ที่ Tuas ซอย 13 ต่อมาได้ย้ายมาทำที่ Woodlands แล้วก็ที่ Tampines ต่อมาเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทางบริษัทไม่ค่อยมีงาน จึงเริ่มคัดคนงานออก หรือตัดเงินเดือนบ้าง ส่วนมากจะเป็นพวกที่ทำอยู่ในออฟฟิศและโฟร์แมน ส่วนพวกคนงานก็เริ่มตัดเงินโอทีลง บางคนหมดสัญญาก็ให้กลับบ้านไม่ต่อสัญญาให้อีก ส่วนผม ผู้จัดการไม่ให้กลับ เขาต่อสัญญาให้ผมอีก 1 ปี
ในปี 2546 ผมได้กลับบ้านที่หนองคายอีกครั้ง พ่อผมอยากให้ผมบวช ผมตกลงบวชหนึ่งพรรษา ผมได้บวชเรียน ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ หลวงปู่บอกว่าทุกวันพระ 15 คํ่าหรือแรม 14 คํ่าตอนเที่ยงคืนให้ไปโปรดสัตว์ ผมไม่เข้าใจว่าหลวงปู่จะให้ผมไปโปรดสัตว์อย่างไร หลวงปู่ท่านบอกผมว่าก็ไปเทศน์ให้เขามารับเอาส่วนบุญ ถ้ากลัวก็ไปกับหลวงพี่ ผมต้องไปป่าช้าเดือนละ 2 ครั้ง ระยะทางจากวัดไปป่าช้าประมาณ 2 กิโลเมตร ต้องไปเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น

เมื่อครบกำหนดผมได้ลาสิขาบทออกมาอยู่บ้านได้ 3 เดือน คราวนี้ผมไปสมัครไปทำงานที่ประเทศลิเบีย โดยวางมัดจำไว้ 30,000 บาท เวลาผ่านไป 6 เดือนยังไม่ได้ไปทำงาน ต้องยกเลิกสัญญา เลยโดนเขาหักเงินไป 8.000 บาท ผมมาสมัครที่บริษัทใหม่จะไปเกาหลีใต้ เขาบอกว่าจะให้เดินทางภายใน 3 เดือน แต่ค่าใช้จ่ายสูงมากเขาจะเอาตั้ง 300,000 บาท ผมไม่มีเงินให้เขา เขาก็บอกให้ผมเอาใบที่นามาไว้ที่บริษัทก่อน แล้วบริษัทจะออกค่าใช้จ่ายก่อน ผมรอ 6 เดือนก้ไม่มีวี่แววว่าจะได้ไป ผมรอไม่ได้แล้วผมเลยไปยกเลิก ผมเลยไปสมัครที่ใหม่ คราวนี้สมัครมาสิงคโปร์ผมจ่ายไป 30,000 บาท คราวนี้ผมได้ทำงานที่ Bedok เป็นงานก่อสร้างผมไม่เคยทำ แต่ต้องทำเพราะว่ารอไม่ได้แล้ว ผมทำได้ 5 เดือนก็ทะเลาะกับนายจ้างและถูกย้ายไปทำที่ Changi ทำงานได้ 3 เดือนก็โดนเจ้านายด่าอีกเพราะว่าผมไปทำตามโฟร์แมน เมื่อนายจ้างมาด่าผม ผมเลยลาออกกลับบ้าน ผมกลับไปอยู่บ้านได้ 5 เดือนผมก็เข้ามาทำงานที่สิงคโปร์อีก คราวนี้เสียเงินค่านายหน้าอีก 30,000 บาท คราวนี้ได้งานที่คารังเวล ทำได้ปีหนึ่งก็ย้ายไปทำที่อื่นอีก 1 ปี พอหมดสัญญาผมก็กลับบ้าน ช่วงนั้นผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งและได้แต่งงานกับเธอได้

หลังจากแต่งงาน 1 ปีผมกลับมาทำงานที่สิงคโปร์คราวนี้ ผมมีคนที่ผมรักอีก 2 คนรอผมอยู่ที่บ้าน ผมกลับเข้ามาทำงานสิงคโปร์ครั้งนี้เสียเงินค่านายหน้าไปอีก 50,000 บาท ทำอยู่ที่ Jurong Island เสียค่านายหน้าแพงแต่เขาบอกว่ารายได้ดี เงินเดือนประมาณ 15,000 บาท แต่ก็โดนหลอกอีกจนได้ เพราะต้องทำโอทีถึง 4-5 ทุ่ม วันอาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด จะหนีกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะถ้ากลับต้องโดนหักเงิน 1,500 เหรียญ จึงทนอยู่ต่อไป ทำงานในเกาะจะเข้าออกก็ลำบาก เขามีด่านตรวจคนงานเข้าออก เพราะคนงานพักในหอพักนั้นมีประมาณ 7,000 ถึง 8,000 คน ที่แค้มป์มียามมีตำรวจเฝ้าตลอดเวลา กินข้าวก็ต้องเข้าแถวเอาข้าว ทุกอย่างต้องอยู่ในกฏระเบียบ เช้าก็ขึ้นรถไปทำงานเย็นกลับแค้มป์ ห้ามเดินออกเดินเข้านอกแค้มป์เด็ดขาด ถ้าใครไม่เชื่อฟังโดนส่งกลับบ้านอย่างเดียว ผมคิดไว้ว่าจะทนอยู่อีกสัก 2 ปีเพราะอยากเก็บเงินปลูกบ้านใหม่สักหลัง บ้านหลังเก่าอายุเกือบจะ 40 ปีแล้ว ผมทำงานผ่านไป 1 ปี ผมยังใช้หนี้เก่าไม่หมดเลย เศรษฐกิจไม่ดี งานการหายาก เวลาทำงานบางครั้งก็มีปัญหากันเพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะพวกคนงานจีนที่มาจากเมืองจีน

คนงานไทยบางคนมีเพื่อนเยอะ เขาจะทำผ้าป่าไปทอดที่บ้านเกิดกัน ทุกวันอาทิตย์เขาจะเปิดซองผ้าป่ากัน
ที่โกลเด้นไมล์ ผมเองก็เคยจัดผ้าป่า 2 ครั้งแล้ว ช่วงปีนี้วันอาทิตย์ไม่มีงานทำ ผมเลยมาสมัครเรียนภาษาอังกฤษที่สมาคมเพื่อนแรงงานไทย เรียนได้หนึ่งเดือนยังไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะคนงานไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษสื่อสารกับเขาก็ลำบาก

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กจริง แต่ประชากรของเขามีคุณภาพมาก ประเทศเขาเจริญกว่าบ้านเรา กฏหมายเขาแรงมาก อยากให้รัฐบาลไทยเหมือนสิงคโปร์บ้าง อยากให้รัฐบาลเราขุดคลองให้เรือสินค้าผ่านจากอันดามันวิ่งเข้าสู่อ่าวไทย เมืองไทยจะได้เจริญกว่านี้ และที่สำคัญจะมีการจ้างแรงงานเกิดขึ้น คนไทยจะมีงานทำมากขึ้น ส่วนราชการไทยในสิงคโปร์และสมาคมไทยเพื่อนแรงงานไทยนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะสมาคมเพื่อนแรงงานไทยมีส่วนช่วยเหลือแรงงานไทยในด้านต่างๆ เช่น การสอนภาษาอังกฤษ และการเปิดโอกาสให้คนไทยได้เรียน มสธ. ส่วนสถานทูตไทยได้ให้ความช่วยเหลือเวลาคนไทยมีปัญหาด้านต่างๆ

สำหรับคนไทยในสิงคโปร์ที่ไหลตายนั้นสาเหตุส่วนใหญ่มากจากการกินอาหารไม่ครบห้าหมู่ พักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อก่อนที่บริษัทของผมมีคนไหลตาย 2 คน สาเหตุคือพักผ่อนไม่พอ ทำงานมาเหนื่อยทั้งวันตอนกลางคืนเล่นไฮโลทั้งคืน กลางวันไปทำงานทำให้ไหลตาย คนงานชาติอื่นอย่างเช่น อินเดีย บังคลาเทศ คนจีน พม่าไม่เคยได้ยินว่าเขาไหลตาย เพราะว่าเขาไม่เล่นการพนันกัน คนไทยที่มาเจอกันที่โกลเด้นไมล์ บางคนมาส่งเงินกลับบ้าน บางคนมาพบเพื่อน สรุปแล้วโกลเด้นไมล์คือ จุดรวมของคนไทยในสิงคโปร์

วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก สิ่งใหม่ๆ เข้ามาแทน สิ่งใดๆในโลกนี้ล้วนแต่อนิจังไม่มั่นคง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปตามกาลเวลา วันหนึ่งข้างหน้า ผมจะหวนคืนสู่ใต้ร่มกาสาวพัสต์อีกแน่นอน เพราะปลายทางชีวิตของคนเราก็คือที่เดียวกันหมด

ขอขอบคุณเพื่อนแรงงานทุกคนที่มาต่อสู้ขายแรงงานที่สิงคโปร์เหมือนกัน มาเป็นร่วมชะตากรรมเดียวกัน ผมคงต้องขอจบเรื่องเล่าชีวิตคนขายแรงที่มาจากชายฝั่งโขงเมืองนครพญานาคไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณมากที่อดทนอ่านเรื่องของผมตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น